ระวัง!‘ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์’ จะกลายเป็นเมือง‘ไวรัสกลายพันธุ์’ ?

ระวัง!‘ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์’ จะกลายเป็นเมือง‘ไวรัสกลายพันธุ์’ ?

หาก“ภูเก็ต”เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีด"วัคซีนโควิด"แล้ว ( 1ก.ค.2564 ) โดยไม่มีมาตรการที่รัดกุม คุณหมอนักวิจัยไทยและนักวิจัยประเทศเพื่อนบ้าน เตือนว่า อาจกลายเป็นเมืองหลวง“ไวรัสโควิดกลายพันธุ์”ของโลก ทำไมเป็นเช่นนั้น....

ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ กำลังจะเป็นพื้นที่นำร่องแห่งแรกของประเทศไทยที่เตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้ว ภาครัฐวางมาตรการไว้ว่าตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าวไม่จำเป็นต้องกักตัว เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวให้กลับมาเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม นโบบายนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากไวรัสโควิดที่แพร่ระบาดในแต่ละประเทศมีสายพันธุ์ต่างกันและอาจทำให้เกิดการกลายพันธุ์ได้ และมีวัคซีนบางชนิดเท่านั้นที่มีงานวิจัยยืนยันว่า ป้องกันไม่ให้รับเชื้อและป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อโควิดได้ และก็ต้องมีการติดตามประเมินผล 

ดร.นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ แพทย์และนักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข หัวหน้าโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ หรือ HITAP นักวิจัยหลักโครงการประเมินวัคซีนโควิด และกรรมการที่ปรึกษาด้านการวิจัยเกี่ยวกับวัคซีน องค์การอนามัยโลก บอกว่า เขาและนักวิจัยประเทศเพื่อนบ้านที่ทำวิจัยร่วมกันเรื่องวัคซีนพาสปอร์ต หรือ vaccive certificate ไม่เห็นด้วยกับการเปิดให้คนต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้วเข้ามาเที่ยวภูเก็ตโดยไม่กักตัว 

โดยงานวิจัยของคุณหมอที่ทำเรื่อง โครงการวิจัยประเมินผลกระทบและความคุ้มค่าของวัคซีนโควิดที่พึ่งประสงค์ เพื่อใช้ในการพัฒนและคัดเลือกวัคซีนสำหรับใช้ในประเทศไทย ดำเนินการไป 80 % แล้ว และอีกหลายประเด็นเกี่ยวกับไวรัสโควิด

162009939128

(ภูเก็ตก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ไวรัสโควิดระลอก 3)

กลไกการทำงานโดย HITAP ซึ่งเป็นทีมวิจัยจากประเทศไทย ได้ร่วมกับทีมวิจัยจากประเทศสิงคโปร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) ร่วมกันวิจัย เพื่อทำให้เกิดข้อตกลงร่วมกันในระดับภูมิภาค 7 ประเทศอาเซียนได้แก่ ไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย ลาว และอินโดนีเซีย และอีก 4 ประเทศได้แก่ อินเดีย จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เกี่ยวกับแนวทางการเดินทางข้ามพรมแดน ด้วยการใช้วัคซีนพาสปอร์ต (Vaccine Passport) หรือใบรับรองการฉีดวัคซีน (Vaccine Certificate)

“รัฐบาลไทยไปประกาศว่า ใครก็ได้จากประเทศไหนที่ฉีดวัคซีนโควิดแล้วสามารถมาเที่ยวภูเก็ตได้ โดยไม่ต้องกักตัว ถ้าทำอย่างนั้น อาจทำให้ภูเก็ตเป็นเมืองหลวงไวรัสกลายพันธุ์ของโลก” คุณหมอยศ กล่าวและบอกว่า 

“เราคุยกับเพื่อนนักวิจัย 9 ประเทศ มีนักวิจัย 7 ใน 9 ประเทศไม่เห็นด้วยกับนโยบายเปิดภูเก็ต ผมขอยกตัวอย่าง หากกลุ่มที่ฉีดวัคซีนแล้วอยู่ในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีการระบาดของไวรัสโควิดน้อยมาก และอีกกลุ่มฉีดวัคซีนแล้วอยู่ในอินเดีย ซึ่งมีการระบาดของโควิดเยอะมาก แล้วทั้งสองกลุ่มนี้มาเที่ยวภูเก็ตโดยไม่กักตัว คุณคิดว่าถ้าพวกเขากลับไปสิงคโปร์ คนสิงคโปร์จะกลัวไหม”

ทั้งหมดเป็นการประเมินจากข้อมูลสาธารณสุขเรื่องไวรัสโควิดของหลายประเทศ และข้อมูลด้านไวรัสวิทยา รวมถึงข้อมูลทางการแพทย์ ซึ่งปัจจุบันเห็นได้ว่า การระบาดของโควิดระลอก 3 ในเมืองไทย โรงพยาบาลแทบจะรับคนป่วยโควิดไม่ไหวแล้ว ทั้งปัญหาเรื่องเตียงและเครื่องช่วยหายใจ

คุณหมอยศ อธิบายต่อว่า การฉีดวัคซีนไม่ได้ทำให้หยุดแพร่เชื้อไวรัสโควิด ตอนนี้ยังไม่มีงานวิจัยรอบรับ ยกตัวอย่างกรณีพยาบาลที่สิงคโปร์ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ครบสองโด้ส(เดือนกุมภาพันธ์ 2564) แล้วติดเชื้อเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แพร่เชื้อให้หมอและคนไข้ กลายเป็นโควิดกลับมาระบาดหนัก วันนี้ (4 พฤษภาคม2564 )สิงคโปร์อาจล็อกดาวน์ เพราะวัคซีนไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

“แล้วรัฐบาลมาบอกว่า ใครก็ได้ในโลกที่ฉีดวัคซีนแล้วเดินทางมาภูเก็ตได้ ไม่ต้องกักตัว คนทำงานวิจัยร่วมกัน 7 ประเทศ บอกว่า นโยบายแบบนี้น่ากลัว รัฐบาลของประเทศเขา คงไม่สนับสนุนให้ประชาชนเดินทางมาภูเก็ต”

ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข และทำวิจัยหลายเรื่องเกี่ยวไวรัสโควิด รวมถึงการนำเสนอนโยบายเรื่องวัคซีนให้รัฐบาล คุณหมอยศ บอกว่า เรื่องนี้ได้นำเสนอผู้บริหารในกระทรวงสาธารณสุขฟัง มีหลายคนเห็นด้วย 

162010015563

“นโยบายแบบนี้ต้องสื่อสารใหม่ การประกาศว่า ใครฉีดวัคซีนแล้วมาภูเก็ตได้ ผมมองว่า แนวทางเปิดการท่องเที่ยวแบบนี้ จากสินค้ามีราคากลายเป็นสินค้าไร้ราคา ก่อนอื่นต้องบอกผู้บริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสมาคมท่องเที่ยวภูเก็ต รู้ตัวก่อนว่า นโยบายแบบนี้ประเทศอื่นไม่เอาด้วย เพราะเป็นนโยบายน่ากลัว"

และการเดินทางข้ามพรมแดน โดยใช้วัคซีนพาสปอร์ตไม่ควรจำกัดอยู่แค่เรื่องการท่องเที่ยว ต้องคำนึงถึงการเดินทางข้ามชายแดน ซึ่งเป็นคนอีกกลุ่มที่เดินทางไปมาหาสู่กันอยู่เรื่อยๆ ดังนั้น แผนการกระจายวัคซีนพื้นที่ชายแดนก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกับการกระจายวัคซีนในประเทศ

"วัคซีนจะช่วยป้องกันการระบาดในประเทศก็ต่อเมื่อวัคซีนสามารถป้องกันการถ่ายทอดเชื้อได้ ปัจจุบันวัคซีนหลายยี่ห้อยังรอผลการวิจัย และตอนนี้ประเทศไทยก็ฉีดวัคซีนให้คนในประเทศน้อยมาก เมื่อใดประเทศไทยฉีดวัคซีนให้ประชากรเยอะจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ก็จะพิสูจน์ได้" คุณหมอยศ เล่า