ไบเดนโนมิค VS สีโคโนมิค

ไบเดนโนมิค VS สีโคโนมิค

ส่องแนวทาง "ไบเดนโนมิค" แก้วิกฤติด้วยแผนการลงทุนใหญ่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ของไบเดน ที่มีหัวใจอยู่ที่การผูกการทุ่มเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นและฟื้นเศรษฐกิจ เข้ากับการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์และการวางแผนระยะยาว ซึ่งเป็นเหมือนกระจกสะท้อน "สีโคโนมิค" ของสี จิ้นผิง

เวลาของวิกฤติ คือ เวลาที่ต้องคิดการใหญ่

มีคนกล่าวว่าวิกฤติโควิดครั้งนี้สะท้อนการผงาดขึ้นของจีน เพราะจีนพ้นวิกฤติและฟื้นตัวได้เร็ว ขณะที่สหรัฐเกิดวิกฤติหนักทั้งด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจ แต่อย่าเพิ่งประมาทสหรัฐครับ เพราะในยุคของประธานาธิบดีไบเดน วิกฤติโควิดกลับกลายเป็นโอกาสที่ไบเดนใช้ในการคิดการใหญ่และคิดการใหม่!

ถ้าไม่มีวิกฤติ แผนการลงทุนใหญ่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ของไบเดน ที่หลายคนเรียกขานว่า ไบเดนโนมิค อาจไม่มีใครเขาเอาด้วย เพราะเป็นแผนที่ผลาญงบมหาศาล สร้างภาระหนี้มโหฬาร และขัดกับหลักการส่งเสริมกลไกตลาดที่วงการนักเศรษฐศาสตร์สหรัฐ ยึดถือมาอย่างยาวนาน

แต่วิกฤติโควิดได้สะท้อนความเปราะบางและจุดอ่อนมากมายในเศรษฐกิจสหรัฐ ทั้งปัญหาการพึ่งพาห่วงโซ่การผลิตจากจีน ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงในสังคมสหรัฐ ปัญหาการถดถอยของสหรัฐ ในภาคอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่ออนาคต

ไบรอัน ดีซ มันสมองด้านเศรษฐกิจคนสำคัญของรัฐบาลไบเดน ได้ให้สัมภาษณ์นิวยอร์กไทมส์ว่า ความคิดด้านเศรษฐกิจของไบเดนนั้นได้รับอิทธิพลมาจากการเปรียบเทียบตัวเองกับจีน

ไบเดนมองว่าจีนสำเร็จในวันนี้ได้เพราะคิดการใหญ่ คือลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูงในสเกลมหึมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก และเพราะคิดการใหม่คือลงทุนในอุตสาหกรรมที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจอนาคต โดยทุ่มให้กับการวิจัยและพัฒนาในเรื่องที่สำคัญในระยะยาวและผ่านการคิดเชิงยุทธศาสตร์มาแล้ว

ผมวิเคราะห์ว่าสาเหตุหนึ่งที่รัฐบาลไบเดนประโคมกระแสภัยคุกคามจากจีน ส่วนหนึ่งเพราะต้องการสร้างความเห็นร่วมในวงการเมืองและสังคมสหรัฐ ถึงความสำคัญที่สหรัฐ จะต้องคิดการใหญ่และคิดการใหม่อีกครั้ง ทั้งวิกฤติโควิดยิ่งเป็นตัวกดดัน เพราะประชาชนรากหญ้าในสหรัฐ เดือดร้อนและมีความต้องการเม็ดเงินมหาศาลในการฟื้นเศรษฐกิจ

ไบเดนโนมิคมีหัวใจอยู่ที่การผูกการทุ่มเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นและฟื้นเศรษฐกิจ เข้ากับการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์และการวางแผนระยะยาว กล่าวคือ 

1.แผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต้องตอบโจทย์เรื่องพลังงานสะอาดและการแก้ไขปัญหาโลกร้อน อุตสาหกรรมสำคัญคืออุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานสะอาด ในวงที่ปรึกษาของไบเดนตอนนี้มีคำพูดว่าหลักคิดทางเศรษฐกิจทั้งหมดต้องเป็นเศรษฐศาสตร์โลกร้อน (all economics is going to be climate economics)

2.การกลับมาของ “ยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม” ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐมักจะหลีกเลี่ยงแนวทางยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม เพราะเห็นว่าเป็นการขัดแย้งกับกลไกตลาดและการพัฒนาของเอกชน ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าการวางแผนของรัฐ

แต่ไบรอัน ดีซ ขุนพลเศรษฐกิจของไบเดน พูดชัดเจนว่าทฤษฎีเก่าใช้ไม่ได้แล้ว เพราะวันนี้สหรัฐกำลังแข่งกับจีนที่ไม่ได้เล่นอยู่บนฐานของกลไกตลาด จึงต้องเปลี่ยนมาเล่นเกมยุทธศาสตร์สู้กับจีน โดยการทุ่มเงินลงทุนวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ที่จะกำหนดอนาคตเศรษฐกิจโลก เช่น เซมิคอนดัคเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ พลังงานสะอาด โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นผู้ปฏิวัตินวัตกรรมในเรื่องเหล่านี้

วิกฤติโควิดและสงครามการค้าได้ทำให้สหรัฐตระหนักถึงความเปราะบางจากการพึ่งพาห่วงโซ่การผลิตของจีน สหรัฐที่เคยเป็นมหาอำนาจด้านอุตสาหกรรมและเป็นนักสร้าง แต่วันนี้การผลิตทุกอย่างกลับอยู่ที่จีน แม้แต่จะผลิตหน้ากากอนามัยหรือเครื่องช่วยหายใจ สหรัฐก็ไม่มีศักยภาพ

ไบเดนย้ำเน้นว่าต้องวางแผนความมั่นคงเรื่องห่วงโซ่การผลิต โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ เขาตั้งเป้าชัดเจนว่าโรงงานรถยนต์พลังงานสะอาดชั้นนำของโลกต้องอยู่ที่สหรัฐ และจากการประชุมล่าสุดกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่กรุงวอชิงตัน ก็มีแผนที่จะร่วมมือกันสร้างห่วงโซ่การผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ที่ตัดขาดจากจีน

3.การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ ต้องมีการวางแผนเพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนรากหญ้าในสหรัฐ กลายเป็นว่าการสร้างงาน การสร้างโอกาสต้องเป็นหัวใจของการลงทุน

มีนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักบางคนถึงกับพูดทีเล่นทีจริงว่าอย่าเรียกแนวคิดของไบเดนว่าไบเดนโนมิคเลย เพราะนี่เป็นแนวคิดที่ฉีกทุกตำราเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากไบเดนไม่สนใจการขาดดุลงบประมาณ ไม่สนใจความเสี่ยงเงินเฟ้อ ไม่สนใจกลไกตลาด แต่ควรเรียกว่าเป็นแนวคิดทางการเมือง เพราะไบเดนมองว่านโยบายเศรษฐกิจต้องทำให้คนรากหญ้าสหรัฐรู้สึกได้จริงๆ ว่าประโยชน์ตกที่เขา ไม่เช่นนั้นนโยบายขยายรัฐเชิงรุกของเขาก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนในระยะยาว

ผมมีข้อสังเกตสองข้อเกี่ยวกับไบเดนโนมิค ข้อแรกก็คือ ไบเดนโนมิคเป็นเหมือนกระจกสะท้อน “สีโคโนมิค” ก็ว่าได้ หรืออาจพูดได้ว่าไบเดนลอกข้อสอบสี จิ้นผิงแบบไม่เกรงใจ เพราะธีมสำคัญของไบเดนนั้นไม่ต่างจากแผนพัฒนาฉบับที่ 14 ในรอบ 5 ปี ใหม่ของจีนที่เพิ่งประกาศออกมา นั่นก็คือการเน้นวิจัยพื้นฐานเพื่อปฏิวัตินวัตกรรม การสนับสนุนอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ การเน้นอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด การเน้นความมั่นคงของห่วงโซ่การผลิตและการพึ่งตัวเองให้ได้ในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ ตลอดจนการสื่อสารกับประชาชนว่าหัวใจของการลงทุนของรัฐคือการสร้างงาน

ข้อสังเกตที่สองที่คนจีนเริ่มวิพากษ์เพื่อไม่ประมาทคู่แข่งก็คือ ไบเดนกำลังทำสมชื่อมหาอำนาจเบอร์ 1 อย่างสหรัฐจริงๆ เพราะเม็ดเงินที่ไบเดนเสนอนั้น เรียกว่ามหึมาที่สุดในประวัติศาสตร์การลงทุนของโลก นักวิเคราะห์ในจีนบางคนถึงกับเปรียบเปรยว่าไบเดนโนมิคคือสีโคโนมิคยกกำลังสองด้วยซ้ำ

สนุกไหมครับการแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจ แต่เดิมพันนี้ยังอีกยาวครับ ฝ่ายจีนยังถามต่อว่าสี จิ้นผิง และสีโคโนมิคนั้นอยู่แน่ๆ อีกยาว แต่ไบเดนเมื่ออยู่ครบ 4 ปี แล้วจะมีสมัยสองไหม หรือ “ทรัมป์โนมิค” จะกลับมา และข้อเสนอแผนการลงทุนมโหฬารของไบเดนนั้น ยังต้องผ่านการต่อสู้และประสานประโยชน์กับกลุ่มการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ในสหรัฐอีกมาก สุดท้ายจะทำได้เพียงใด และทำได้ผลขนาดไหน ยังต้องรอชม

แต่ที่แน่ๆ เกิดคำถามสองข้อที่ชวนถามพวกเรา 1.ท่ามกลางการสู้กันดุเดือดในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองยักษ์ ย่อมผลักให้โลกหมุนเร็วขึ้น ไทยเราพร้อมหรือยังกับโลกที่เศรษฐกิจเก่ากำลังตายลงอย่างรวดเร็ว และนวัตกรรมกำลังผลัดใบด้วยสปีดทวีคูณ

และ 2.วิกฤติใหญ่อย่างโควิดในปัจจุบัน ไทยเราได้ใช้เป็นโอกาสในการสร้างฉันทามติร่วมในสังคม ปลุกพลังคิดการใหญ่และคิดการใหม่บ้างหรือไม่ หรือมีแต่คิดเล็กคิดน้อย หรือไม่ก็จุดธูปขอพรขอให้โลกกลับมาเหมือนเดิมเร็วๆ