‘ผู้สอบบัญชี’ กับการต้านการทุจริต

‘ผู้สอบบัญชี’ กับการต้านการทุจริต

ส่องบทบาทหน้าที่ของ "ผู้สอบบัญชี" ที่ต้องตรวจสอบงบดุลและบัญชีกำไรของบริษัทมหาชนจำกัด ให้เสร็จสิ้นก่อนเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด แล้วในแง่ของการปรามและต้านการทุจริตสามารถทำได้แค่ไหน อย่างไร?

บริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายบังคับให้จัดทำบัญชีและงบดุล อย่างน้อยทุกรอบ 12 เดือน โดยงบดุลนั้นต้องให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบแล้วเสนอที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นอนุมัติภายใน 4 เดือน นับแต่วันที่ลงในงบดุลนั้น

ส่วนบริษัทมหาชนจำกัด ตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด กฎหมายกำหนดให้คณะกรรมการบริษัทต้องจัดทำงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน ณ วันสิ้นสุดของรอบปีบัญชีเพื่อเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปีเพื่อพิจารณาอนุมัติ โดยคณะกรรมการต้องจัดให้ “ผู้สอบบัญชี” ตรวจสอบงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนดังกล่าวให้เสร็จสิ้นก่อนเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติ นอกจากนี้คณะกรรมการอาจจัดทำงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนขึ้นระหว่างรอบปีบัญชีก็ได้ งบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนดังกล่าวก็ต้องให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบเช่นกัน

แต่ถ้าเป็นบริษัทมหาชนจำกัดที่เริ่มจัดตั้งใหม่ และได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นต่อประชาชนหรือบุคคลใดตามมาตรา 32 หรือได้รับอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ตามมาตรา 33 หรือเป็นบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้รับการยกเว้นให้สามารถเสนอขายหุ้นในวงจำกัด ตามมาตรา 34 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ต้องจัดทำงบการเงินเป็นรายไตรมาส และงบการเงินประจำงวดการบัญชีที่ผู้สอบบัญชีตรวจสอบและแสดงความเห็นแล้ว ส่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ด้วย

ในการตรวจสอบงบการเงินและแสดงความเห็นของผู้สอบบัญชีของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ดังกล่าว ตามที่มีผู้ประมวลจากมาตรฐานการสอบบัญชีรหัส 700 การแสดงความเห็นและการรายงานต่องบการเงิน สรุปได้ว่าผู้สอบบัญชีจะแสดงความเห็นไว้ที่หน้ารายงานของผู้สอบบัญชี เป็น 4 แบบคือ

1.ไม่มีเงื่อนไข ซึ่งหมายถึงผู้สอบบัญชีตรวจแล้วไม่พบข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอย่างมีสาระสำคัญ

2.มีเงื่อนไข หมายถึงผู้สอบบัญชีพบรายการในงบการเงินมีการเสนองบการเงินที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอย่างมีสาระสำคัญ แต่รายการที่ขัดต่อข้อเท็จจริงมีรายการไม่มาก หรืออาจเกิดจากการที่ไม่สามารถหาหลักฐานการสอบบัญชีอย่างเพียงพอเพื่อสนับสนุน

3.งบการเงินไม่ถูกต้อง เป็นกรณีที่งบการเงินนั้นมีรายการบางรายการหรือหลายรายการไม่ถูกต้อง และไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งมีกระจายอยู่ไปทั่วของงบการเงินนั้น

4.ไม่แสดงความเห็น เป็นกรณีที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน เมื่อผู้สอบบัญชีไม่สามารถหาหลักฐานการสอบบัญชีที่ถูกต้องเหมาะสมอย่างพอเพียงเพื่อสนับสนุนการแสดงความเห็น และแม้จะได้รับหลักฐานการสอบบัญชีที่ถูกต้องเหมาะสม เพียงพอ แต่ก็มีปัจจัยความไม่แน่นอนของสถานการณ์หลายสถานการณ์ (ของเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ) อันเกี่ยวกับงบการเงินนั้น ที่จะไม่สามารถสรุปได้ว่าจะแสดงความเห็นต่องบการเงินนั้นอย่างไร

กรณีที่ผู้สอบบัญชีไม่สามารถหาหลักฐานการสอบบัญชีที่เหมาะสมอย่างเพียงพอเพื่อสนับสนุนการแสดงความเห็น อาจเกิดจากการถูกจำกัดขอบเขตการสอบทาน หรือตรวจสอบโดยการกระทำหรือไม่กระทำของบริษัทนั้น หรือของกรรมการหรือของผู้บริหารนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าเพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากบริษัท กรรมการหรือผู้บริหาร ไม่เปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง หรือปกปิดข้อมูล นั่นเอง

  • บทบาทของผู้สอบบัญชีในการปรามและต้านการทุจริต

ขั้นตอนการตรวจสอบและสอบทานงบการเงิน และการแสดงความเห็นของผู้สอบบัญชี จะเป็นขั้นตอนที่ผู้สอบบัญชีมีส่วนช่วยในการปรามการทุจริตในบริษัทจดทะเบียนได้ระดับหนึ่ง เพราะกรรมการหรือผู้บริหารที่จะกระทำการทุจริตคิดมิชอบ คงต้องคิดว่าอาจถูกผู้สอบบัญชีที่เป็นบุคคลภายนอกตรวจพบได้ และถึงแม้จะตรวจไม่พบการทุจริตอย่างชัดแจ้ง แต่ก็อาจพบร่องรอยจากความผิดปกติของงบการเงิน ซึ่งจะมีผลตามมาที่อาจถูกผู้สอบบัญชีแสดงความเห็นที่หน้ารายงานในทางที่ไม่เป็นคุณทางใดทางหนึ่ง เช่นเป็นงบการเงินที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่แสดงความเห็นก็ได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีกับบริษัทแน่นอน

งบการเงินที่ผู้สอบบัญชี แสดงความเห็นว่าเป็นงบการเงินที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่แสดงความเห็น อันเนื่องจากถูกจัดขอบเขตการสอบถามหรือตรวจสอบโดยการกระทำหรือไม่กระทำของบริษัท หรือกรรมการหรือของผู้บริหาร ถือเป็นงบการเงินที่จัดทำขึ้นไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนกำหนดตามมาตรา 56 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มีผลเท่ากับบริษัทนั้นไม่ได้ส่งงบการเงินในเวลาตามที่กฎหมายกำหนด กรรมการหรือผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ของบริษัทนั้น มีความรับผิดทางอาญาด้วย และตลาดหลักทรัพย์ จะระงับการซื้อขายหุ้นของบริษัทนั้นไว้จนกว่าจะส่งงบการเงิน และอาจนำไปสู่การสอบสวนดำเนินคดีกับกรรมการหรือผู้บริหารที่รับผิดชอบ ว่ากระทำความผิดฐานอื่นอีกด้วยหรือไม่

ในการปรามหรือต้านการทุจริตในบริษัทจดทะเบียน นอกจากการตรวจสอบและสอบทานและการแสดงความเห็นที่หน้ารายงานของงบการเงินดังกล่าวแล้ว ผู้สอบบัญชียังมีหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 89/25 วรรคหนึ่งของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ โดยสรุปคือ ในการตรวจสอบบัญชีของบริษัทจดทะเบียน ถ้าผู้สอบบัญชีพบพฤติการณ์อันควรสงสัยว่ากรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลดังกล่าว ได้กระทำความผิดตามาตรา 281/2 วรรคสอง มาตรา 305 มาตรา 306 มาตรา 308 มาตรา 309 มาตรา 310 มาตรา 311 มาตรา 312 หรือมาตรา 313 ให้ผู้สอบบัญชีแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ดังกล่าวให้คณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทนั้นทราบ เพื่อดำเนินการตรวจสอบโดยไม่ชักช้า และให้คณะกรรมการตรวจสอบรายงานผลการตรวจสอบในเบื้องต้นให้สำนักงาน ก.ล.ต.และผู้สอบบัญชีทราบภายใน 30 วัน

  • ข้อสังเกต จากบทบัญญัติของมาตรา 89/25 ดังกล่าวข้างต้น เห็นได้ว่า

(1) ผู้สอบบัญชีและคณะกรรมการตรวจสอบ จะเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการปรามหรือต้านการทุจริตในบริษัทจดทะเบียน

(2) ในกรณีที่ผู้สอบบัญชีและคณะกรรมการตรวจสอบตรวจพบพฤติการณ์อันควรสงสัยว่ากรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคล ได้กระทำความผิดตามมาตราต่างๆ ดังกล่าวเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดเพิ่มขึ้นกับบริษัท ผู้ถือหุ้นรายย่อย น่าจะมีบทบัญญัติของกฎหมายให้อำนาจหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่สั่งให้ระงับการกระทำนั้นไว้ก่อนได้

(3) อันเนื่องมาจากมีความเห็นของผู้เกี่ยวข้องในวงการตลาดทุนว่ากรรมการอิสระ ถือเป็นผู้แทนเป็นปากเสียงผู้ถือหุ้นรายย่อย ดังนั้น การแต่งตั้งหรือถอดถอนกรรมการบริษัท ส่วนที่เป็นกรรมการอิสระน่าจะมีการกำหนดให้เป็นสัดส่วนของผู้ถือหุ้นรายย่อยโดยบทบัญญัติของกฎหมายด้วย ส่วนจะเป็นสัดส่วนเท่าใดก็เป็นขั้นตอนที่ต้องพิจารณาต่อไป