ส.อ.ท.หนุนคุมระบาดขั้นสูง แนะเร่งฉีดวัคซีนวันละ5แสนคน

ส.อ.ท.หนุนคุมระบาดขั้นสูง แนะเร่งฉีดวัคซีนวันละ5แสนคน

ส.อ.ท. คาดการระบาดรอบ 3 จะกระทบต่อจีดีพีเดือนละ 0.5% แนะรัฐนำอังกฤษมาเป็นแบบอย่างในการระดมฉีดวัคซีน ซึ่งไทยควรจะฉีดให้ได้วันละ 5 แสนคน จึงจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้รวดเร็ว และธุรกิจกลับมาเดินหน้าตามปกติ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การระบาดของโควิดในรอบที่ 3 นี้ แม้ว่าการระบาดจะรุนแรงกว่าใน 2 ครั้งแรก แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะน้อยกว่า เพราะรัฐบาลไม่ล็อคดาวน์แต่ประกาศควบคุมบางพื้นที่ที่เป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อ เช่น ผับบาร์ และสถานที่เที่ยวกลางคืน ที่เป็นแหล่งระบาดของรอบใหม่ จะกระทบหนักแต่เพียงสถานบริการในช่วงกลางคืน

ส่วนธุรกิจค้าขายอื่น ๆ ได้รับผลกระทบไม่มาก ส่วนในภาคอุตสาหกรรมก็ได้ปรับตัวได้ตั้งแต่การระบาดในรอบแรกแล้ว จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าหากการระบาดครั้งนี้กินเวลานาน 1 เดือนจะกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศคิดเป็นประมาณ 0.5% ของจีดีพี แต่หากนานไปเป็น 2 เดือนก็จะกระทบไป 1% ของ จีดีพี ซึ่งหากการระบาดยิ่งยาวนานก็ยิ่งกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยแนวทางการแก้ปัญหา รัฐบาลควรนำแบบอย่างของประเทศอังกฤษมาใช้ เพราะมีจำนวนประชากรประมาณ 60 ล้านคนใหล้เคียงกับไทย ซึ่งในขณะนี้ได้กักตุนวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อต่าง ๆ ไว้กว่า 200 ล้านโดส และล่าสุดได้ทำสถิติฉีดวัคซีนได้ถึงวันละ 5 แสนคน จนทำให้ฉีดให้กับประชากรไปแล้วกว่า 70% ซึ่งเป็นประเทศที่มีทั้งวัคซีนจำนวนมาก และระดมฉีดได้อบ่างรวดเร็ว จึงทำให้ลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันจากเดิมที่เป็นหลักหมื่นคน เหลือเพียง 1-2 พันคนต่อวัน และสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ

สำหรับประเทศไทย มองว่าว่าประเทศไทยควรจะเร่งระดมซื้อวัคซีนให้หลากหลายยี่ห้อที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล มีวัคซีนให้เพียงพอกับประชากรทุกคนในประเทศ หรือมีสำรองมากกว่าประชากร 30-40%

และเร่งฉีดให้กับประชาชนให้ได้วันละ 5 แสนคน ซึ่งจะใช้เวลากว่า 100 วัน จึงจะครอบคลุมประชาชนมากกว่า 70% ของประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดภูมิกันหมู่ ซึ่งแม้ว่าวัคซีนแต่ละชนิดจะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่ก็ช่วยลดการแพร่ระบาดลงได้มาก ทำให้ประเทศชาติกลับมาดำเนินธุรกิจและใช้ชีวิตได้ตามปกติ และจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

“รัฐบาลควรจะนำผลสำเร็จจากประเทศต่าง ๆ มาปรับใช้กับประเทศไทย รวมทั้งให้ทุกภาคส่วนเข้ามาช่วยระดมฉีดวัคซีน เช่น ให้คลินิกต่าง ๆ ทั้งคลินิกรักษาโรคทั่วไป คลินิกทันตแพทย์ และคลินิกเสริมความงามมาช่วยกันฉีดวัคซีน"

รวมทั้งภาคเอกชนก็พร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ซึ่งที่ผ่านมา ส.อ.ท.ก็ได้สร้างโรงพยาบาลสนาม และตู้เก็บวัคซีนจำนวนมากมอบให้กับภาครัฐ และพร้อมที่จะซื้อวัคซีนเพื่อมาฉีดให้กับพนักงานของตัวเอง ซึ่งล่าสุดก็ได้สั่งซื้อวัคซีนไปแล้วกว่า 1 แสนโดส ซึ่งหากรัฐบาลดึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วนมาร่วมกันได้ ก็จะทำให้ฉีดวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว