เหตุใดสูบ'บุหรี่ไฟฟ้า' ตายเร็วกว่าบุหรี่มวน

เหตุใดสูบ'บุหรี่ไฟฟ้า' ตายเร็วกว่าบุหรี่มวน

ผลวิจัยยืนยันว่า การสูบ"บุหรี่ไฟฟ้า"ไม่ได้ปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา จึงไม่มีความหมายอะไรในแง่การลดผลกระทบทางสุขภาพ

ผลวิจัยล่าสุด พบว่า อันตรายระยะสั้นของ บุหรี่ไฟฟ้า น่ากลัวกว่าบุหรี่มวน ทั้งป่วยและเสียชีวิตเร็วกว่าการสูบบุหรี่ธรรมดา ยังพบการส่งต่อยีนผิดปกติจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าจากแม่สู่ลูกในครรภ์ ขณะที่ผลทดลองในหนูส่งต่อยีนผิดปกติถึงรุ่นหลาน

นักวิจัยยังยืนยันอีกว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้มีความหมายในแง่ทำให้สุขภาพดีขึ้น แนะห้ามนำเข้า ซื้อขาย และสูบดีที่สุด หรือจัดให้เป็นอุปกรณ์และยาทางการแพทย์

ผศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาการสุขภาพมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เผยผลวิจัยล่าสุด "อันตรายของการใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์และนโยบายควบคุมการใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์”จากการทบทวนงานวรรณกรรมต่างประเทศ(วารสารวิชาการปี 2553 ถึงปัจจุบัน)ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางตามนิยามของธนาคารโลก 7 ประเทศ กลุ่มประเทศรายได้สูง 3 ประเทศ และเอกสารของหน่วยงานด้านสุขภาพ เช่น 

161793896295

องค์การอนามัยโลก ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยระบบสุขภาพและการแพทย์มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์โดยได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.)มีข้อสรุปที่น่าสนใจ 3 ประเด็น คือ

 ในระยะสั้นบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายมากกว่าบุหรี่มวนใน 2 ภาวะด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นภาวะการเสี่ยงต่อการระเบิดของอุปกรณ์ที่ใช้สูบ ส่งผลให้ร่างกายบาดเจ็บ พิการ และรุนแรงจนถึงเสียชีวิต

ทั้งขณะสูบและเก็บไว้กับตัว เช่น ที่กระเป๋ากางเกงและการเกิดภาวะอิวาลี หรือ E-cigarette or Vaping Product Use-Associated Lung Injury (EVALI)ที่ทำให้ปอดอักเสบเฉียบพลัน และเป็นสาเหตุให้ผู้สูบเสียชีวิตได้ร้อยละ 80 ของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าที่เกิดภาวะดังกล่าว มาจากการใส่สารสกัดกัญชาในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า ขณะที่จำนวนผู้ป่วยด้วยภาวะอิวาลีในสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 5,000 กว่าคน จาก 2,600 คนในปี2561-2562 ในซึ่งบุหรี่ธรรมดาจะไม่เกิดภาวะเช่นนี้

 “เราพบข้อมูลว่าผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าบางคนอายุไม่เยอะ สิบกว่าถึง 20 ปี สูบครั้งแรกและสูบครั้งเดียว ก็สามารถป่วยเป็นภาวะอิวาลีและเสียชีวิตได้ หรือสูบเพียงไม่กี่ปีก็ป่วยและเสียชีวิตจากภาวะดังกล่าว

และประเด็นการใส่สารสกัดกัญชาในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าจะอันตรายมากขึ้นในประเทศไทย เมื่ออิงกับนโยบายกัญชาที่อนุญาตให้ใช้ได้มากขึ้น ก็อาจมีคนนำมาใช้แบบเดียวกันได้” หัวหน้าคณะวิจัยฯระบุ

ผศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวต่ออีกว่า ส่วนอันตรายระยะยาวของบุหรี่ไฟฟ้า ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันบ่งชี้ว่า สามารถทำให้เกิดโรคอย่างบุหรี่ธรรมดาหรือบุหรี่มวนได้แล้ว เช่น โรคหัวใจ แม้ความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคจะน้อยกว่าก็ตาม

นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าบุหรี่ไฟฟ้าสามารถช่วยให้สูบบุหรี่มวนน้อยลงได้จริง แต่ไม่ใช่การเลิกบุหรี่ แค่ผู้สูบเปลี่ยนมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าแทน และเมื่อบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา จึงไม่มีความหมายอะไรในแง่การลดผลกระทบทางสุขภาพ

 คุณหมอคนเดิม บอกว่า อันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้าที่่ปรากฏในงานวิชาการต่างประเทศยังมีอีกหลายแง่มุม ทั้งการส่งต่อความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เป็นผลมาจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นกรณีแม่สูบบุหรี่ไฟฟ้าจนเกิดยีนที่ผิดปกติ และส่งต่อยีนผิดปกตินั้นให้ทารกในครรภ์ ที่นักวิจัยจากUniversity of Sydney และ University of Technology Sydney ประเทศออสเตรเลียค้นคว้าไว้

ส่วนการทดลองในสัตว์พบการถ่ายทอดยีนผิดปกติจากบุหรี่ไฟฟ้าในหนูจากรุ่นแม่ไปจนถึงรุ่นหลานที่นักวิจัยจากUFZ–Helmholtz Centre for Environmental Research Leipzig-Halle ร่วมกับ German Cancer Research Centerประเทศเยอรมันเป็นผู้ค้นพบ        

 “หลังจากวิเคราะห์ผลการสืบค้นเอกสารวิชาการเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า ทางทีมผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะว่า ในแง่สุขภาพไม่ควรให้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย และควรให้สถานะบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ทั้งการนำเข้า การขาย และการสูบ

หากไม่สามารถห้ามได้ด้วยปัจจัยทางการเมืองหรือภาคธุรกิจ ก็ควรจัดให้ตัวอุปกรณ์ที่ใช้สูบและน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์และยาทางการแพทย์ ที่ต้องมีการขึ้นทะเบียนหรือให้ อย.เป็นผู้อนุมัติเพื่อปกป้องผู้บริโภค

โดยเฉพาะในส่วนของน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าต้องห้ามใส่สารสกัดกัญชาทั้ง THC CBD และวิตามิน A ที่ภายหลังพบว่า อาจมีส่วนทำให้เกิดภาวะอิวาลีได้ หรือแม้แต่การแต่งกลิ่นแต่งรสในลักษณะแฟชั่นเพื่อดึงดูดเยาวชนก็ควรห้ามเช่นกัน

และถ้าหากมีข้อบ่งชี้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าสามารถช่วยลดการสูบหรือช่วยเลิกบุหรี่ไฟฟ้าได้จริง การใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อลดหรือเลิกบุหรี่ธรรมดาต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น

อย่างไรก็ดีทาง ศจย.จะนำผลวิจัยที่ได้นี้เสนอต่อรัฐบาล เพื่อใช้วางทิศทางในการขับเคลื่อนนโยบายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างรัดกุม” ผอ.สถาบันวิจัยวิทยาการสุขภาพกล่าว.