‘ASP’จ่อดันหุ้นไอพีโอเข้าเทรดปีนี้4ดีล

‘ASP’จ่อดันหุ้นไอพีโอเข้าเทรดปีนี้4ดีล

“เอเซียพลัส กรุ๊ป” คาดหุ้นไทยยังเป็นขาขึ้น เหตุสภาพคล่องล้น-ดอกเบี้ยต่ำ หนุนนักลงทุนเข้าซื้อขาย คาดรายได้ปีนี้สูงกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 2.12 พันล้าน และรายได้นายหน้าค้าหลักทรัพย์โต 15-20% จากวอลุ่มตลาดพุ่ง ธุรกิจวาณิชธนกิจเพิ่มขึ้นจากเตรียมดันหุ้นไอพีโอ เข้าเทรดปีนี้ 4 บริษัท ขณะที่ธุรกิจบลจ.แนวโน้มดีขึ้น

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซียพลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังเป็นทิศทางขาขึ้น เนื่องจากสภาพคล่องทางการเงินที่ล้น และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่สูง โดยตั้งแต่ต้นปีนี้ถึง12 มี.ค. มูลค่าซื้อขายตลาดรวมเฉลี่ยที่ 88,874 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น 50 % เฉลี่ยอยู่ที่ 4,449 ล้านบาท ทำให้คาดว่ารายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 15-20%

ขณะที่ธุรกิจอื่นก็เติบโตเช่นกัน เช่น ธุรกิจด้านวาณิชธนกิจปีนี้ ซึ่งมีดีลไอพีโอ จำนวน 20 บริษัท ซึ่งจะเข้าจดทะเบียนได้ในปีนี้ 4 บริษัท แบ่งเป็น ครึ่งปีแรกของปีนี้ก่อนราว 3 บริษัท ที่เหลือยังขึ้นกับความพร้อมของแต่ละบริษัทและดำเนินการให้เป็นไปตามเกณฑ์ อีกทั้งธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ปีนี้คาดมีรายได้มากขึ้นเช่นกัน เพราะจะรับรู้รายได้เต็มปี จากการออกเสนอขายกองทุนใหม่ในช่วงปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงคาดว่ารายได้ปีนี้จะสูงกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 2,2126 ล้านบาท

ทั้งนี้บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการลงทุน ต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจการเงิน ธุรกิจฟินเทค ส่วนธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่การเงินปัจจุบันมีการลงทุนอยู่แล้วค่อนข้างมาก เช่น หุ้นสหรัฐ หุ้นจีน ลงทุนในกองทุนสตาร์ทอัพอิสราเอล หรือ ลงทุนโดยตรงในบริษัทซีเคียวริตี้ของอิสราเอล ซึ่งบริษัทมีความพร้อมเงินลงทุนอยู่แล้วด้วยส่วนทุนที่มีอยู่กว่า 4,000 ล้านบาท หนี้สินต่อทุนยังต่ำที่ 0.8 เท่า และมีต้นทุนทางการเงินอยู่ที่1%

“บริษัทให้ความสำคัญของการกระจายตัวของธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง สินค้าและบริการมีคุณภาพ มีทีมผู้บริหารและทีมงานทั้งคนรุ่นเก่าและใหม่ทำงานกันได้ดี ทำให้บริษัททำกำไรและจ่ายปันผลที่สูงได้ รวมถึงมองหาโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดอยู่ตลอดแต่ต้องไม่บั่นทอนผลประกอบการการทำให้ปัจจุบันในแง่ของกำไรบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 แม้ว่าในแง่ของรายได้จะส่วนแบ่งการตลาดอยู่อันดับ 13 หรือ 14 ก็ตาม”

นายก้องเกียรติ กล่าวด้วยว่า สำหรับการลงทุนหุ้นไทย ส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มเศรษฐกิจเก่าหรือธุรกิจดั่งเดิมที่มีอยู่แล้ว ดังนั้นการพิจารณาผลประกอบการ งบกำไรขาดทุน และการตีมูลค่าหุ้น เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการพิจารณาลงทุนในปีนี้

 ขณะเดียวกันเมื่อถึงจุดหนึ่งที่อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นมาและถ้าการทำกำไรโตช้ากว่าที่คาด มองว่า มีโอกาสตลาดปรับฐานลงมาได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการลงทุน