กัญชง-กัญชา ‘สตอรี่’ สร้างสีสันธุรกิจครั้งใหม่

กัญชง-กัญชา ‘สตอรี่’ สร้างสีสันธุรกิจครั้งใหม่

'2กูรู' วิพากษ์อนาคต 'กลุ่มกัญชง-กัญชา' หลังสร้างกระแส 'ฟีเวอร์' ในแวดวงธุรกิจครั้งใหม่ ตั้งแต่ไม่เห็นผลิตภัณฑ์จริง !! บ่งชี้ผ่าน 'บิ๊กเอกชนไทย' ตบเท้าขอใบอนุญาต อย. เพียบ ฟาก 'ดีโอดี ไบโอเทค' จ่อเซอร์ไพรส์ตลาดผุดสินค้า 'กลุ่มสกิลแคร์' ตัวแรกปีหน้า !

'กัญชา & กัญชง' พืชเศรษฐกิจความหวังสร้างการเติบโตครั้งใหญ่ในอนาคต กำลังขึ้นแท่น 'ธุรกิจใหม่' (New Business) มาแรง !! ที่ภาคเอกชน 'ตื่นตัว' ยื่นใบอนุญาตปลูกและผลิตตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค. 2564 ที่ผ่านมา ภายหลังกระทรวงสาธารณสุขประกาศปลดล็อกกัญชงให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงการค้าได้ โดยไม่จำกัดเป็นยาเสพติด ขณะที่กัญชาอนุญาตให้ใช้ทางการแพทย์อย่างเดียวก่อน 

สะท้อนผ่านบริษัทที่จดทะเบียนไทยในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) ที่แสดงความสนใจยื่นขออนุญาตปลูกและแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบกัญชงผสมในอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องสำอางหลากหลายราย อาทิ บมจ. ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี หรือ STA , บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค หรือ DOD ,บมจ.อาร์เอส หรือ RS , บมจ. บิวตี้ คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTY , บมจ. โอสถสภา หรือ OSP , บมจ.คาราบาวกรุ๊ป หรือ CBG ,บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป หรือ ICHI , บมจ.เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป หรือ M และ ล่าสุด บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN เป็นต้น 

สอดคล้องกับ 'อนุทิน ชาญวีรกูล' รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญกับนโยบายกัญชาและกัญชงมาก โดยจะมอบนโยบายให้กับผู้บริหารและข้าราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้เกิดการดำเนินงานที่ประสานบูรณาการไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ที่จะให้เกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและสุขภาพแก่ประชาชนคนไทย 

'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' สอบถามมุมมอง 2 นักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ 'วีไอ' ในแง่ของธุรกิจและราคาหุ้น เขาว่ายังไงกันบ้าง... 

'โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง' อดีตนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ 'วีไอ' วิเคราะห์ 'หุ้น' ในกลุ่มที่แสดงความสนใจลงทุนในธุรกิจกัญชง ว่า ปัจจุบันราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับตัวขึ้นมามาก ส่วนตัวมองว่าเป็น 'สตอรี่ใหม่ๆ' เข้ามาสร้างสีสันให้ตลาดหุ้นให้นักลงทุนเข้ามา 'เก็งกำไร' ระยะแรก สะท้อนผ่านราคาหุ้นหลายบริษัทวิ่งไปรับข่าวไปก่อนแล้ว ซึ่งหากมองในแง่ของพื้นฐานแท้จริงยังไม่เห็นผลต่อผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ !! คงต้องรอดูไปก่อน  

161504165480

อนุรักษ์ บุญแสวง

โดยเชื่อระยะแรกๆ จะมีผู้ประกอบการเอกชนสนใจเข้ามาทำธุรกิจที่ผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของกัญชง ไม่ต่ำกว่า 20-30 ราย แต่ระยะยาวมองจะเหลือเอกชนที่เป็น 'ผู้ชนะ' ในตลาดแค่ 1-2 รายเท่านั้น 'ตอนนี้ใครๆ ก็สนใจลงทุนก็พูดได้หมด แต่ในความเป็นจริงผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดได้รับการตอบรับได้ยืนยาวแค่ไหน'  

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังต้องรอกฎระเบียนในการลงทุนก่อน ซึ่งหากมีการอนุมัติกฎระเบียบออกมาเชื่ออาจจะมี 'ราคาตลาด' (Market Price) คงคล้ายๆ ในยุคตลาด 'ชาเขียว' ที่ในช่วงเริ่มต้นตลาดหวือหวาเพราะมีผู้เล่นในตลาดหลายราย แต่ปัจจุบันเหลือผู้เล่นในตลาดเพียงไม่กี่รายเท่านั้น 

'ผมมองคล้ายๆ กับสมัยตลาดชาเขียวที่เฟื้อฟู แต่ระยะเวลาผ่านไปในตลาดเหลือผู้เล่นเพียงไม่กี่รายเท่านั้น'

ทั้งนี้ 'โจลูกอีกสาน' มองว่ากลุ่มหุ้นที่จะได้รับประโยชน์และตรงเป้าหมายกลุ่มลูกค้ามากสุด ยกให้ บมจ.คาราบาวกรุ๊ป หรือ CBG และ บมจ.โอสถสภา หรือ OSP เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง คาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มที่สนใจในผลิตภัณฑ์กัญชงเป็นกลุ่มแรกๆ 

'หลิน-วีระพงษ์ ธัม' นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ วีไอ มีมุมมองต่อธุรกิจกัญชง-กัญชา ว่า ในแง่ของธุรกิจถือเป็นหนึ่งใน 'โอกาสใหม่ๆ' ของผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนประกอบกับ ‘กัญชา-กัญชง’ เป็นพืชที่สามารถปลูกได้ในหลายพื้นที่เหมาะกับเมืองไทยที่เป็นประเทศที่มีสัดส่วนภาคเกษตกรส่วนใหญ่ และเมืองไทยยังมี 'จุดแข็ง' ในส่วนของอุตสาหกรรมสุขภาพ , กลุ่มอาหาร และกลุ่มเกี่ยวข้องการท่องเที่ยว ซึ่งในอนาคตธุรกิจกัญชง-กัญชาอาจจะเกิดเป็นอุตสาหกรรมใหม่ในตลาดหุ้นก็เป็นไปได้หากตลาดเมืองไทยได้รับความนิยมในผลิตภัณฑ์กลุ่มดังกล่าว และผู้บริโภคมีความเชื่อว่าจะช่วยรักษาสุขภาพได้ 

ขณะที่หากมองในส่วนของราคาหุ้นกลุ่มที่สนใจจะลงทุนในผลิตภัณฑ์กัญชงนั้น ปัจจุบันราคาหุ้นอาจจะตอบรับก่อนหน้าไปแล้วในหุ้นบางตัว สะท้อนผ่านราคาที่ปรับตัวขึ้นไปเยอะแล้ว โดยเฉพาะหุ้นที่มีสภาพคล่องดีๆ ราคาก็จะขยับไปไกลได้เร็วกว่า แต่อย่างไรก็ตาม มองหุ้นกลุ่มที่จะลงทุนในผลิตภัณฑ์กัญชง มีโอกาสเป็นหุ้นในกลุ่มที่จะเป็น 'เรดาร์' (Radar) ในสายตานักลงทุนได้ในอนาคต หากธุรกิจมีการพัฒนาออกมาและประสบความสำเร็จในตลาดได้ 

กระแส 'กัญชง' แรงลูกค้าวิ่งชน 'ดีโอดี'

บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค หรือ DOD ประกอบธุรกิจรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้ตราสินค้าของลูกค้า เป็นหนึ่งบริษัทที่ยืนขออนุญาตนำเข้าเมล็ดกัญชงจากต่างประเทศเพื่อมาปลูกเมื่อ 16 ก.พ. ที่ผ่านมา สอดรับก่อนหน้านี้บริษัทร่วมเป็นหนึ่งในผู้รับซื้อกัญชงโครงการรับสมัครผู้ปลูกกัญชงเชิงพาณิชย์ของทางมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีเครือข่ายเกษตรผู้ยื่นขอรับใบอนุญาตเพาะปลูกกัญชงเป็นจำนวนมาก

'ธนิน ศรีเศรษฐี' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DOD เล่าให้ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ฟังว่า ตอนนี้กระแสกัญชงมาแรงมาก โดยบริษัทมีลูกค้าแสดงความสนใจให้บริษัทผลิตสินค้าให้จำนวนมาก โดยเฉพาะลูกค้าที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) และเป็นบริษัทที่ไม่มีพอร์ตธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาหารเสริมมาก่อน แต่เป็นบริษัทที่มีช่องทางการจัดจำหน่ายขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการคุยในรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ คาดว่าหากเจรจากันได้ข้อสรุปคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) หลายสิบล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทยังไม่สามารถทำสินค้าที่มีส่วนผสมของกัญชงได้แม้ถูกกฎหมายแล้ว แต่ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แบบฟอร์มและรูปแบบขั้นตอนอนุญาตยังไม่เสร็จอยู่ระหว่างการดำเนินการ แต่เบื้องต้นบริษัทยืนขออนุญาตในส่วนของการนำเข้าเมล็ดกัญชงเข้ามาให้เกษตรปลูกก่อน โดยคาดใบอนุญาตจะได้ไม่เกิน 75 วัน หลังจากนั้นบริษัทสามารถนำเข้าเมล็ดกัญชงมาปลูกได้ คาดว่าอีก 8 เดือนจะสามารถผลิตผลจากต้นกัญชงเพื่อดำเนินการต่อ

161504191877

กัญชง

ทั้งนี้ ปี 2565 บริษัทจะมีรายได้เติบโตจากผลิตภัณฑ์สารสกัดจากกัญชงตัวแรก ซึ่งคาดผลิตภัณฑ์ที่ อย.อนุญาตผลิตน่าจะเป็นกลุ่มสกิลแคร์, เครื่องสำอาง ส่วนกลุ่มที่เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้ภายนอก ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าสนใจจำนวนมาก ตอนนี้บริษัททำได้เพียงแค่คุยในรายละเอียดผลิตภัณฑ์ต้องการแบบไหนโดยบริษัทมีสูตรอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่สามารถรู้ว่าจะต้องใช่ CBD เป็นส่วนผสมเท่าไหร่

'คาดจะเห็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสมุนไพรที่ผสมสารสกัดจากกัญชงออกจำหน่ายอย่างเร็วปีหน้า หลังจากบริษัทได้ยื่นเอกสารขอใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานสกัดกัญชงจาก อย. ไปแล้ว ขึ้นอยู่กับขั้นตอนการพิจารณาของ อย. ว่าจะอนุมัติได้เมื่อไหร่ แต่ยอมรับลูกค้าให้ความสนใจและติดต่อให้บริษัทช่วยผลิตผลิตภัณฑ์จากสารสกัดกัญชงเป็นจำนวนมาก แต่กระบวนการผลิตคงต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะกว่าขั้นตอนการคิดค้นสูตรและการเพาะปลูกอาจใช้เวลาอย่างน้อย 4 เดือน'

เขา บอกต่อว่า สำหรับปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายเติบโตใกล้เคียงจากปี 2563 โดยมาจาก 'กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพ' ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อาทิ 'สินค้าโพรไบโอติกส์' (Probiotics) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ขนาดเล็กที่ช่วยปรับสมดุลในลำไส้และการเผาผลาญของร่างกาย ซึ่งพบว่าลูกค้าให้การตอบรับดีเป็นอย่างมาก คาดเดือน มี.ค.นี้ จะมีออเดอร์จากลูกค้าเข้ามาโดยปัจจุบันลูกค้าอยู่ระหว่างขั้นตอนขออนุญาต อย.

สอดรับบริษัทอยู่ระหว่างปรับกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันกำลังผลิต 3 ล้านซองต่อเดือน แต่มีแผนขยายกำลังผลิตอีกเท่าตัวเป็น 6 ล้านซองต่อเดือน โดยบริษัทจะมีรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ตัวใหม่เข้ามาในไตรมาส 2/2564

'การระบาดของโควิด-19 ทำให้เทรนด์คนรักสุขภาพมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด และเชื่อว่าเทรนด์ดังกล่าวยังจะอยู่อีกนาน เพราะอนาคตไม่รู้ว่าจะมีโรคระบาดตัวไหนเข้ามาอีกส่งผลให้ยอดขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่ง DOD เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่โพรไบโอติกส์ ซึ่งตลาดต้องการเป็นอย่างมาก'

โบรกฯ มองลงทุนหุ้นกัญชงระยะแรก 'เก็งกำไร'

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า จากที่องค์การอาหารและยา (อย.) เปิดรับผู้สนใจขอใบอนุญาตปลูกกัญชงได้เสรีตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค. เป็นต้นไป ซึ่งทำให้มีวัตถุดิบออกสู่ตลาดราว 6 เดือนหลังจากที่ได้รับใบอนุญาต คาดจะเริ่มเห็นการเก็บเกี่ยวในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการปลายน้ำมีวัตถุดิบในการผลิตและจำหน่ายสร้างรายได้ชัดเจนในปี 2565 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ กัญชงสามารถปลูกได้ทุกสายพันธุ์แต่ต้องระบุที่มา และสามารถระบุได้ว่าผลผลิตที่ได้จะจำหน่ายให้กับใครใช้ทำอะไร สารสกัดช่อดอกต้องมี THC ไม่เกิน 0.2% ขณะที่ลำต้นสามารถเอาไปใช้ทางพาณิชย์ได้เลย นับจากยื่นขออนุญาตจะมีการพิจารณาไม่เกิน 120 วัน และจะสามารถลงมือปลูกได้คาดว่า 3–4 เดือนจะเริ่มมีผลผลิตกันชงออกสู่ตลาด นอกจากนี้ผู้ผลิตต้นน้ำจะได้ประโยชน์จากราคาต่อก.ก. ที่อาจสูงถึง 1 แสนบาท/ก.ก. ต่อไร่ให้ผลผลิตราว 20-30 ก.ก. เนื่องจากยังมีการห้ามนำเข้าสารสกัดกัญชง 5 ปี

ส่วนกัญชา กฎหมายยังไม่เปิดกว้างให้กับบุคคลทั่วไปหรือหน่วยงานเอกชนสามารถปลูกได้เองเนื่องจากสารสกัดยังมี THC ที่สูง การปลูกจะต้องมีการขอใบอนุญาตร่วมกับหน่วยงานรัฐฯ เท่านั้น การจำหน่ายส่วนต่างๆ รวมทั้งสารสกัดจากกัญชาต้องจำหน่ายเพื่อใช้ทางการแพทย์เท่านั้น

'จากการที่กฎหมายได้ปลดล็อคให้กับการใช้เมล็ดกัญชงกับทางด้านสมุนไพรและเครื่องสำอางแล้ว ส่วนการใช้ CBD ในเครื่องสำอางคาดว่าจะตามมาในช่วงเดือน มี.ค. และการใช้สารสกัดเมล็ดในอาหาร เครื่องดื่ม และอาหารเสริมคาดว่าจะมีการประกาศปลดล็อคได้ในเดือน ก.พ. ส่วนการใช้สาร CBD ในอาหารและเครื่องดื่มคาดว่าจะใช้เวลาอีกราว 3 เดือนจากนี้ เนื่องจากเครื่องสำอางเป็นการใช้ภายนอก ผลกระทบต่อร่างกายจึงน้อยกว่า และจะเปิดกว้างสำหรับทุกผลิตภัณฑ์กัญชงเพื่อการส่งออก'

ดังนั้น มองธุรกิจที่จะได้ประโยชน์เป็นอันดับแรกคือ 'เครื่องสำอาง' เพราะเป็นการใช้ภายนอก การใช้งานหลากหลายได้ทุกเพศ ทุกวัย และการส่งออกจะได้การอนุญาตจากประเทศคู่ค้าง่ายกว่าและได้ใช้สรรพคุณจากสารสกัดแท้จริง แต่ยังมีประเด็นเรื่องกลิ่นและการพกพาไปยังประเทศที่ยังไม่เปิดเสรีเป็นข้อจำกัดในการใช้งาน

ส่วนอาหารและเครื่องดื่มเป็นลำดับถัดไป เป็นตลาดที่ใหญ่ แต่การส่งออกอาจติดข้อกฎหมายหากประเทศคู่ค้ายังไม่เปิดเสรี และกลุ่มผู้บริโภคจะต้องถูกจำกัดอายุ โดยกลุ่มเครื่องดื่มใครที่บุกเบิกตลาดได้ก่อนจะได้ประโยชน์ เพราะท้ายที่สุดจะมีผู้เล่นมากขึ้นจนเป็น Red ocean และเป็นเพียงจุดขายของเครื่องดื่มแต่สรรพคุณจาก CBD ใส่ได้น้อย

โดยมีมุมมองต่อ 'หุ้น DOD' มีความโดดเด่นที่เป็นผู้ประกอบการอาหารเสริม และสารสกัดต่างๆ มีโอกาสที่จะเป็นผู้ประกอบการที่รับจ้างผลิตอาหารเสริมให้กับแบรนด์ต่างๆ

'หุ้น ICHI' เป็นผู้ประกอบการเครื่องดื่มที่มีความพร้อมเรื่องกำลังการผลิตสำหรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมเฉพาะ (Functional drink) ทำได้โดยไม่ต้องรอเครื่องจักรไม่ต้องลงทุนเพิ่มจึงผลิตได้ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นสูง แต่ที่ผ่านมาผู้บริหารมักให้ข้อมูลว่าบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาธุรกิจใหม่ที่เป็น Non-drink เรามองว่าหาก ICHI สนใจในธุรกิจด้านนี้จริงมีโอกาสที่สินค้าจะไม่จำกัดแค่เพียงเครื่องดื่มเท่านั้น อาจเป็นสินค้าด้านสมุนไพรเพื่อสุขภาพ หรือเครื่องสำอาง ซึ่งเราชอบมากกว่าเครื่องดื่มด้วยเหตุผลข้างต้น

'หุ้นRBF' มีศักยภาพทั้งต้นน้ำเพราะมีที่ดินจำนวนมาก กลางน้ำมีโรงสกัดอยู่แล้ว และจำหน่ายสินค้าปลายน้ำซึ่งเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้า (ไม่อยู่ใน Coverage)

อย่างไรก็ตาม คาดผลผลิตแรกอาจเริ่มออกสู่ตลาดช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 ทำให้คาดจะเริ่มเห็นผลิตภัณฑ์และรายได้ที่ชัดเจนจากธุรกิจนี้ปี 2565 จะเป็นปีที่เห็นภาพเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นที่ได้ประโยชน์ถูกปรับประมาณการขึ้น หากอิง Upside จากราคาหุ้นในต่างประเทศคาดว่าไม่น้อยกว่า 50% จากราคาเป้าหมายปัจจุบัน เพียงแต่ผู้ประกอบการหลายรายยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้จนกว่าจะมีความชัดเจนหรือได้รับใบอนุญาต การลงทุนในช่วงแรกจึงเป็นลักษณะการเก็งกำไร