‘CPALL’เล็งหาพันธมิตรร่วมทุนเปิด7-11ในลาว-กัมพูชา

‘CPALL’เล็งหาพันธมิตรร่วมทุนเปิด7-11ในลาว-กัมพูชา

CPALLเล็งหาพันธมิตรร่วมทุนเปิด7-11ในลาว-กัมพูชา เตรียมออกหุ้นกู้ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ สกุลเงินดอลลาร์ เป็นสกุลเงินบาท หลังกู้เพื่อซื้อ-ร่วมลงทุน “โลตัส สโตร์ส"”เพื่อลดความผันผวนอัตราดอกเบี้ย และฟิกซ์อัตราดอกเบี้ย

นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)หรือCPALL เปิดเผยว่า สำหรับความคืนหน้าในการเปิดสาขาร้าน 7-11 ในที่สปป.ลาว และกัมพูชา ขณะนี้รอให้โควิด-19คลี่คลาย เพื่อสามารถเดินทางไปยังประเทศดังกล่าวเพื่อเปิดสาขา เพราะทางด้านแผนงานได้มีความคืบหน้าไปมากแล้ว และบริษัทอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมทุนในการเปิดสาขาร้าน7-11ที่สปป.ลาวและกัมพูชา เพื่อให้ร้าน7-11 ในประเทศดังกล่าวประสบความสำเร็จ

ทั้งจากที่บริษัทได้มีการกู้ยืมเงินระยะสั้นจากสถาบันการเงินที่เป็นเงินสกุลเงินบาท และดอลลาร์รวมมูลค่า 8.4-8.5 หมื่นล้านบาทเพื่อซื้อ บริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ Tesco Stores (Malaysia) Sdn. Bhd. ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน ( D/E)ในปี 2563ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.62 เท่า จากปี2563 อยู่ที่ 0.94 เท่า ซึ่งบริษัทมีแผนบริหารจัดการหนี้ โดยจะเปลี่ยนหนี้ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศให้เป็นเงินสกุลเงินบาท เพราะเพื่อลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยให้คงที่มาขึ้น

ทั้งนี้ ทางคณะกรรมการ(บอร์ด)บริษัทมีมติเสนอผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 เม.ย. 2562 อนุมัติขยายวงเงินการออกและเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มอีกไม่เกิน 100,000 ล้านบาท เพื่อใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกําหนดไถ่ถอนและการ Refinancing การชําระคืนหนี้เงินกู้ยืมฯลฯซึ่งหากผู้ถือหุ้นอนุมัติจะทำให้บริษัทมีวงเงินในการออกเสนอขายหุ้นกู้รวมเป็นไม่เกิน 2.95 แสนล้านบาท

สำหรับในช่วงเดือนมี.ค.2564 บริษัทมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และภายใน12 เดือนข้างหน้า บริษัทมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด14,500 ล้านบาท (ไม่รวมกับหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์)

อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทมีฐานการเงินแข็งแกร่งโดยสิ้นปี 2563 มีกระแสเงินสดอยู่ที่ 48,600 ล้านบาท และมีวงเงินในการออกหุ้นกู้ และ มีวงเงินกู้จากสถาบันการเงิน ทำให้บริษัทมีเงินทุนเพียงในการชำระคืนหนี้ และขยายธุรกิจ จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนจดทะเบียน

นายเกรียงชัย กล่าวว่า คาดยอดขายในปี2564คาดว่าจะดีกว่าปี 2563 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19คลี่คลาย จากวัคซีน คลายมาตรการควบคุม ทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจ จะทำให้กำลังซื้อและความมั่นใจการบริโภคดีขึ้น แต่ในช่วง2 เดือนแรกปีนี้ ยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19รอบใหม่ ทำให้ยอดขายในไตรมาสแรกปีนี้ จะใกล้เคียงกับไตรมาส 4 ปี 2563