จะเป็นอย่างไรเมื่อ! เทคโนโลยีอวกาศ 'แอร์บัส' ทยานสู่ดาวอังคาร

จะเป็นอย่างไรเมื่อ! เทคโนโลยีอวกาศ 'แอร์บัส' ทยานสู่ดาวอังคาร

แอร์บัสพร้อมนำสถานีตรวจวัดข้อมูลสภาพอากาศของดาวอังคาร เทคโนโลยีหลักสำหรับให้ข้อมูลสำคัญที่ได้จากการตรวจวัดอากาศดาวอังคารแก่นักวิทยาศาสตร์ และระบบเสาอากาศรับสัญญาณแรงสูงที่ทำให้การสื่อสารกลับมายังโลกในช่วงภารกิจ MARS2020 เป็นไปด้วยความรวดเร็ว

และพร้อมปฏิบัติงานทันทีเมื่อยานเพอร์เซเวียแรนซ์ โรเวอร์ (Perseverance rover) ของนาซ่าลงจอดบนพื้นผิวของดาวอังคารในวันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์นี้

โดย ยาน Perseverance จะใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ 7 ประเภท เพื่อที่จะศึกษาสภาพแวดล้อมทางชีวภาพและธรณีวิทยาของดาวอังคาร รวมไปถึงสถานีตรวจวัดข้อมูลสภาพอากาศของดาวอังคาร MEDA ที่แอร์บัสได้ออกแบบและสร้างขึ้นมา ซึ่งอุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอากาศ MEDA จะวัดปริมาณตัวแปรสภาวะแวดล้อมโดยใช้เซ็นเซอร์ที่กระจายอยู่ทั่วโรเวอร์สำรวจอวกาศนี้ โดยจะตรวจวัดความเร็วและทิศทางลม ความชื้นสัมพัทธ์ ความดันบรรยากาศ อุณหภูมิของดินและอากาศ รังสีดวงอาทิตย์ และคุณสมบัติของฝุ่นละออง ซึ่งค่าพารามิเตอร์เหล่านี้จะเป็นตัวแปรที่สำคัญต่อกระบวนการตัดสินใจอิสระเพื่อให้เฮลิคอปเตอร์ Ingenuity สำรวจดาวอังคารบนโรเวอร์ทำการบิน

MEDA เป็นสถานีตรวจวัดข้อมูลสภาพอากาศของดาวอังคารแห่งที่สามซึ่งดูแลโดยแอร์บัสที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ ในปี พ.ศ.2555 ยานสำรวจคิวริออสซิตี้ (Curiosity rover) ยานสำรวจสภาพแวดล้อมบนดาวอังคารหรือที่รู้จักกันในชื่อ REMS (Rover Environmental Monitoring Station) ลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคารเป็นครั้งแรก และครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2561 ได้ทำการส่งอุปกรณ์ตรวจสอบและเฝ้าระวังสภาพอากาศ ณ จุดลงจอดของยาน ที่มีชื่อว่า TWINS (Temperature and Wind for InSight) เดินทางไปพร้อมกับยานสำรวจอินไซต์ (InSight) ซึ่งทั้งสองครั้งนับเป็นภารกิจที่ประสบความสำเร็จของทีมนักวิทยาศาสตร์จาก Jet Propulsion Laboratory (หรือ JPL) ที่ดูแลโดย NASA

ข้อมูลทั้งหมดที่ยาน Perseverance ค้นพบจะถูกส่งมายังโลกผ่านระบบเสาอากาศรับสัญญาณแรงสูง (HGAS) ซึ่งออกแบบและผลิตโดยแอร์บัส โดยใช้สายอากาศรับและส่งสัญญาณ X-band ที่จะทำให้เกิดการสื่อสารข้อมูลด้วยความเร็วสูง เสาอากาศนี้จะใช้เทคโนโลยีไมโครสตริป (microstrip technology) ที่พัฒนาขึ้นเอง มีคุณสมบัติที่สามารถป้องกันฝุ่นละอองเพื่อรักษาความสะอาดและเสถียรภาพทางความร้อน

ขณะเดียวกันเสาอากาศจะส่งข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่สร้างขึ้นโดยเครื่องมือต่าง ๆ และข้อมูลเกี่ยวกับสถานะสุขภาพของยานโรเวอร์โดยตรงและไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อตัวกลาง เช่น ยานอวกาศ นอกจากนี้ ยานพาหนะจะได้รับคำสั่งพร้อมกับภารกิจในแต่ละวันจากโลกเนื่องจากเสาอากาศสามารถควบคุมได้จึงสามารถส่ง "ลำแสง" ของข้อมูลชี้ตรงมายังโลกโดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายตัวยานซึ่งช่วยทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น

ส่วนการสำรวจแหล่งความร้อนสูงบนดาวอังคารนั้น ระบบเสาอากาศจะต้องมีอุณหภูมิตั้งแต่ -135ºC ถึง +90ºC พร้อมกับการทดสอบความทนทานจากความร้อนอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยจะเป็นระบบสายอากาศ HGAS อันที่สองของแอร์บัสบนดาวอังคาร ซึ่งระบบแรกยังคงทำงานได้อย่างไร้ที่ติบนยานสำรวจคิวริออสซิตี้มาตลอด 8 ปี

โดย Mars2020 เป็นภารกิจที่ต้องใช้ความพยายามมากที่สุดเท่าที่เคยส่งยานอวกาศไปดาวอังคาร เนื่องจากยานเหล่านั้นจะต้องทำการตรวจสอบหินและดินของดาวอังคารโดยละเอียดมากกว่าที่เคยทำมาในการค้นหาร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในอดีตบนดาวเคราะห์ และจัดเก็บเพื่อการกลับสู่โลกในภายหลัง สัญญาณ หรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในอดีต (bio-signature) นอกจากนี้ ภารกิจ Mars2020 จะแสดงลักษณะของกระบวนการทางธรณีวิทยาที่ประกอบขึ้นเป็นพื้นผิว และจะวัดวิวัฒนาการประจำวันและตามฤดูกาลของกระบวนการที่เกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศของดาวอังคารรวมไปถึงลักษณะของฝุ่นแขวนลอย ยานเพอร์เซวีแรนซ์ยังทดสอบเทคโนโลยีเพื่อช่วยปูทางสำหรับการสำรวจดาวอังคารของมนุษย์ในอนาคต เช่น การสร้างออกซิเจนจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ หรือการบินเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กครั้งแรกบนดาวเคราะห์ดวงอื่น

ทั้งนี้เกี่ยวกับแอร์บัส

แอร์บัสเป็นผู้นำระดับโลกในด้านเกี่ยวกับอากาศยาน อวกาศ และการบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในปี. 2562 แอร์บัสมีรายได้ 70 พันล้านยูโร และมีการจ้างงานราว 135,000 คน แอร์บัสมีเครื่องบินโดยสารที่ครอบคลุมมากที่สุด แอร์บัสยังเป็นบริษัทผู้นำในยุโรปที่ให้บริการเรือบรรทุกน้ำมัน เครื่องบินต่อสู้ เครื่องบินขนส่งและปฏิบัติภารกิจ รวมถึงบริษัทเกี่ยวกับอวกาศอันดับหนึ่งของยุโรปและธุรกิจเกี่ยวกับอวกาศที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ในส่วนของเฮลิคอปเตอร์ แอร์บัสยังให้บริการโซลูชันด้านอากาศยานปีกหมุนทางทหารและพลเรือนมีประสิทธิภาพมากที่สุดไปทั่วโลก