ทิศทาง 'คริปโตเคอเรนซี' กระแส 'บิทคอยน์' การกำกับจากภาครัฐ

ทิศทาง 'คริปโตเคอเรนซี' กระแส 'บิทคอยน์' การกำกับจากภาครัฐ

จับตา "คริปโตเคอเรนซี" สกุลเงินดิจิทัลที่ปัจจุบันมีเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทิศทางต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร หลังจากกระแส "บิทคอยน์" มาแรงและทำนิวไฮใหม่ ซึ่งในมุมกฎระเบียบ Regulators ทั่วโลก เริ่มมีสัญญาณในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลที่เข้มงวดขึ้น

บทความฉบับนี้ผู้เขียนเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมากระแสการลงทุนในคริปโตเคอเรนซีสกุลต่างๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสกุลบิทคอยน์ (Bitcoin) อย่างไรก็ดี ในทางกลับกันหากพิจารณาในมุมกฎระเบียบ Regulators ทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐ เหมือนจะส่งสัญญาณตรงกันในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในมุมที่เข้มงวดขึ้น

  • กระแส Bitcoin

นับจากกลางปี 2563 ที่ได้มีปรากฏการณ์ Bitcoin Halving หรือการที่ระบบของบิทคอยน์ได้ทำการลดจำนวนเหรียญที่เกิดขึ้นใหม่ (ไม่ได้หมายความว่าบิทคอยน์ที่มีอยู่ในระบบจะถูกหารครึ่ง) แต่คนที่ออกแบบระบบกำหนดให้ทุกๆ 4 ปี จำนวนของบิทคอยน์ที่ขุดได้จะถูกปรับลดลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งหากพิจารณาประกอบกับหลักทางเศรษฐศาสตร์เรื่องอุปสงค์/อุปทาน พบว่าเมื่อบิทคอยน์ที่จะเกิดขึ้นใหม่มีจำนวนน้อยลง ย่อมส่งผลต่อราคาที่จะปรับเพิ่มขึ้น เพราะถือเป็นสินทรัพย์ที่หายากและมีจำนวนจำกัดในอนาคต

ดังนั้น จากปัจจัยที่ผู้สร้างกำหนดให้บิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่มีจำนวนจำกัดและหายากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับโลกได้เผชิญกับโควิด ส่งผลให้คริปโตสกุลต่างๆ รวมถึงบิทคอยน์กลายเป็นสินทรัพย์ทางเลือกของนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนรายใหญ่ที่สนับสนุนและตอบรับการใช้คริปโตเป็นอย่างดี

  • ตัวอย่างการใช้ Bitcoin ที่หลากหลาย

จากกระแสในเชิงบวกที่ผ่านมาบิทคอยน์จึงมีราคาเพิ่มขึ้น และถูกนำไปใช้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการใช้บิทคอยน์ในแอฟริกาและอินเดีย รวมไปถึงบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่หันมาให้ความสำคัญกับคริปโตมากขึ้น เช่น Paypal ที่เปิดให้ผู้ใช้บริการสามารถซื้อ/ขาย และชำระราคาสินค้าจากร้านค้าในเครือข่ายโดยใช้คริปโตสกุลต่างๆ รวมถึงบิทคอยน์ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลของ Paypal (เปิดให้เริ่มใช้ปี 2564 และมีเหรียญที่รองรับเริ่มต้น 4 สกุล BTC, ETC, BCH และ LTC) 

ล่าสุด บริษัทเทสลาได้แจ้งต่อ SEC (ก.ล.ต.สหรัฐ) ว่าได้เข้าซื้อบิทคอยน์ 15,000 ล้านดอลลาร์ ประกอบกับมีแผนในอนาคตที่จะรับชำระราคารถยนต์ของเทสลาด้วยบิทคอยน์ นอกจากนี้หากพิจารณาจากการใช้งานสำหรับภาครัฐ ทางการท้องถิ่นของเมือง Zermatt สวิตเซอร์แลนด์ได้รับชำระภาษีและธุรกรรมทางการเงินท้องถิ่นด้วยสกุลเงินบิทคอยน์แล้วตั้งแต่ต้นปี 2563

  • ทิศทางคุมเข้มจากทางการสหรัฐ

แม้คริปโตจะถูกใช้เพิ่มมากขึ้นสำหรับภาคเอกชน แต่สำหรับภาครัฐกลับมีกระแสที่สวนทาง ผู้เขียนขอยกตัวอย่างในกรณีสหรัฐที่แสดงความกังวลเมื่อปลายปี 2563 ถึงประเด็นที่ว่า คริปโตอาจเป็นช่องทางหนึ่งในการทำ “illicit financing” หรือช่องทางการเงินที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากเป็นระบบที่ยากต่อการสืบค้นหาเจ้าของตัวจริงของแต่ละบัญชี ซึ่งความกังวลดังกล่าวเป็นที่มาของการที่ FinCEN (Financial Crimes Enforcement Network) หรือเครือข่ายอาชญากรรมทางการเงิน ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังสหรัฐ ได้เสนอปรับปรุงกฎหมายเพื่อตรวจสอบช่องทางการเงินของคนอเมริกันในการใช้คริปโต ไม่ว่าจะจากศูนย์ซื้อขายในประเทศ หรือจากการถือครองคริปโตที่มีเก็บไว้ในสถาบันการเงินนอกประเทศ

  • เสนอปรับกฎหมายการเงิน เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบทางภาษี ดังนั้น ในรายละเอียดอาจสรุปข้อเสนอของทางการสหรัฐได้ ดังนี้

1) บุคคลสหรัฐมีหน้าที่รายงานข้อมูลการทำธุรกรรม ในกรณีการโอนคริปโตจากกระเป๋าเงินดิจิทัลของศูนย์ซื้อขายไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัลของตนเอง (private wallet) หรือในกรณีที่มีการโอนไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัลของบุคคลอื่นใด ต้องมีการทำ KYC เพื่อรายงานข้อมูลว่าโอนไปให้ผู้ใดด้วย

2) สำหรับศูนย์ซื้อขายก็มีหน้าที่บันทึกข้อมูลการโอนดังกล่าวไว้ด้วยเช่นกัน เพื่อรายงานให้กับทางการทราบตามเงื่อนไขที่กำหนด

3) สำหรับคริปโตที่ถูกเก็บอยู่นอกประเทศ สหรัฐได้พยายามโยงให้คริปโตเป็นทรัพย์สินทางการเงินประเภทหนึ่งที่ต้องรายงานตามหลักการของกฎหมาย Bank Secrecy Act หรือกฎหมายที่กำหนดให้บุคคลสหรัฐ (บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล) มีหน้าที่รายงานข้อมูลบัญชีทรัพย์สินทางการเงินอันอาจตีราคาได้ (เช่น หุ้น เงินฝาก) ที่เก็บไว้ในสถาบันการเงินในต่างประเทศ หากมีมูลค่ารวมกันมากกว่า 10,000 ดอลลาร์ ดังนั้น จึงมีการเสนอให้ปรับปรุงนิยามประเภทบัญชีทรัพย์สินที่ต้องรายงานให้รวม Virtual Currency หรือทรัพย์สินประเภทคริปโตด้วย

4) สรรพากรสหรัฐได้ปรับแบบฟอร์มการยื่นเสียภาษีสำหรับปีภาษี 2563 (ฟอร์ม 1040 ของปี 2020) โดยตั้งคำถามต่อผู้เสียภาษีและระบุถ้อยคำไว้ในหน้าแรกของแบบฟอร์มว่า “ในปีภาษีที่ผ่านมามีรายได้เกิดขึ้นจากการซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน หรือผลประโยชน์อื่นใดจากคริปโตหรือไม่?” ทั้งนี้ เพื่อแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการจัดเก็บภาษีจากคริปโต โดยมองว่าเป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่ง ดังนั้น เมื่อมีส่วนต่างกำไรเกิดขึ้นและสามารถตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน ย่อมถือเป็นเงินได้จากการลงทุนประเภทหนึ่ง (Investment income) ที่ผู้ถือครองต้องเสียภาษีไม่ต่างไปจากการซื้อขายหุ้นหรือการลงทุนในทรัพย์สินประเภทอื่นๆ

ท้ายที่สุด สำหรับผู้เขียน แม้จะมีการประกาศจากรัฐบาลของไบเดนว่า กฎหมายบางอย่างที่ถูกเสนอในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์จะถูกชะลอการดำเนินการไว้ก่อน โดยขอทบทวนอย่างรอบคอบอีกครั้ง ซึ่งรวมไปถึงข้อเสนอในการปรับปรุงกฎเกณฑ์การกำกับดูแลคริปโตในข้างต้นด้วย (ไม่รวมประเด็นภาษีที่ได้ดำเนินการไปแล้ว) 

อย่างไรก็ดี หากมองในอีกด้าน ข้อเสนอปรับปรุงกฎหมายเพื่อตรวจสอบช่องทางการเงินของบุคคลสหรัฐในการใช้คริปโต ไม่ได้มีประโยชน์ต่อการป้องกันการฟอกเงินเพียงอย่างเดียว แต่อาจเป็นประโยชน์ต่อการตรวจสอบการเสียภาษีของคนอเมริกัน ซึ่งใช้หลักสัญชาติในการจัดเก็บได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ดังนั้น ข้อเสนอต่างๆ แม้จะเพิ่มภาระต่อการลงทุนในคริปโต แต่ก็อาจก่อให้เกิดประโยชน์ทางการคลังต่อสหรัฐ ซึ่งหากมีการปรับกฎหมายให้เข้มขึ้นในทุกประเด็นที่กล่าวมาในข้างต้น แน่นอนว่ากระแสกำกับดูแลคริปโตในรูปแบบนี้จะเป็นต้นแบบให้กับประเทศอื่นๆ ศึกษาเป็นแนวทางต่อไป

(บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน)