คลังสั่ง”ออมสิน-ธ.ก.ส.”รับลงทะเบียน”เราชนะ”เริ่มจันทร์หน้า

คลังสั่ง”ออมสิน-ธ.ก.ส.”รับลงทะเบียน”เราชนะ”เริ่มจันทร์หน้า

คลังเปิดช่องทางลงทะเบียน”เราชนะ”กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟนเพิ่ม โดยนับตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.- 5 มี.ค.นี้สามารถมาลงทะเบียนได้ที่”ออมสิน-ธ.ก.ส.” พร้อมจัดทีมลงทะเบียนตรงถึงบ้านแก่ผู้ป่วยติดเตียง ขณะที่ สั่งแบล็กลิสต์ 160 ร้านค้าทุจริต

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยกรณีแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” มีปัญหาขัดข้องช่วงเช้าหลังจากวันนี้โอนเงิน เราชนะ งวดแรกให้ผู้ผ่านสิทธิในโครงการกว่า 10 .2 ล้านคนว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากมีการใช้ช่องทางเดียวกันในระบบ คือ กลุ่มที่ใช้สิทธิคนละครึ่ง และกลุ่มที่ใช้สิทธิเราชนะ ซึ่งเมื่อมีผู้ใช้งานจำนวนมากระบบจึงหน่วงบ้างเป็นปกติ แต่ไม่ไม่ถึงขั้นล่ม ซึ่งกรณีนี้จะให้ทางไอทีของธนาคารกรุงไทยพัฒนาระบบต่อไป แต่ตอนนี้ถือว่า ยังเอาอยู่

“การที่แอปฯขัดข้อง เพราะเข้ามาในระบบในช่วงทางเดียวกัน จึงมีปัญหา อย่างไรก็ตามการทำงานต้องมีสะดุดบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นล่ม ส่วนในปัจจุบันกลุ่มคนที่ได้รับสิทธิในโครงการเกือบถึง 30 ล้านคนแล้ว ดังนั้น จะเหลือกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนที่ต้องมาลงทะเบียนเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งคาดว่า จะเป็นไปตามที่คาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วม 31 ล้านคน”

สำหรับผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถเดินทางออกไปลงทะเบียน “เราชนะ”ได้ ขณะนี้กระทรวงการประสานกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)และกระทรวงมหาดไทยแล้ว โดยให้ญาติหรือผู้ดูแลในกลุ่มนี้แจ้งกับผู้ใหญ่บ้านหรือท้องถิ่นเข้ามา เพื่อจะจัดทีมเข้าไปรับลงทะเบียนให้ ซึ่งลักษณะจะเหมือนกับทีมผู้พิทักษ์สิทธิ์ในโครงการ เราไม่ทิ้งกันที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่า กลุ่มนี้จะมีประมาณ 1 แสนรายเท่านั้น เพราะส่วนมากผู้ป่วยติดเตียงมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะได้รับสิทธิ “เราชนะ”โดยอัตโนมัติ

ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันจันทร์ที่ 22 ก.พ.2564 นี้ ประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนสามารถไปลงทะเบียนได้ที่ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ได้ ซึ่งกระทรวงการคลังเปิดเพิ่มให้เพื่ออำนวยความสะดวก โดยขอให้ประชาชนไม่ต้องรีบมา เพราะสามารถลงทะเบียนได้ถึงวันที่ 5 มี.ค.2564

ส่วนกรณีร้านค้าทุจริตในโครงการ “คนละครึ่ง”นั้น ขณะนี้ พบร้านค้าที่กระทำความผิดจริง 160 ร้านค้า ซึ่งได้ดำเนินงานระงับการจ่ายเงินร้านค้าทันที และยึดสิทธิเรียบร้อย โดยร้านค้าเหล่านี้จะติดแบล็คลิสต์ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการรัฐต่อไปในอนาคตได้ ส่วนในปัจจุบันมีร้านค้าที่กระทรวงการคลังได้ส่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมตรวจสอบอีก 1 พันร้านค้าที่เข้าข่ายจะมีการทุจริต

นางสาวกุลยา​ ตันติเตมิท​ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า​ สำหรับผู้ที่สละสิทธิ์โครงการ “เราชนะ” จากกรณีต่างๆ ด้วยความผิดพลาดของข้อมูลหรือการเข้าใจคลาดเคลื่อน เช่น เป็นลูกจ้างรายวัน-อาสาสมัครของรัฐ เป็นผู้สูงอายุและไม่มีสมาร์ทโฟน แต่ลงทะเบียนในเว็บจึงต้องกดสละสิทธิ์ เป็นต้น กลุ่มบุคคลดังกล่าวสามารถลงทะเบียนใหม่ได้ที่สาขาของธนาคารกรุงไทยเช่นเดียวกับกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน ซึ่งจะได้รับเงิน 7 พันบาทเช่นเดียวกันและใช้จ่ายผ่านบัตรประชาชน

ส่วนกรณีไม่สามารถลงทะเบียน “เราชนะ” ในเวลาที่กำหนดได้ เนื่องจากฐานข้อมูลในระบบไม่พบเลขบัตรประชาชนนั้น จะต้องไปเช็คที่สำนักงานเขตว่าตัวเลขบัตรประชาชนมีความคลาดเคลื่อนหรือไม่ เพราะบัตรประชาชนผู้สูงอายุบางรายทำมานานแล้ว ขณะนั้นอาจจะมีการกรอกข้อมูลผิดพลาด ซึ่งคนกลุ่มนี้หากได้บัตรประชาชนใหม่แล้วก็สามารถมาลงทะเบียนที่ธนาคารกรุงไทยได้เช่นกัน

“ในวันที่ 22 ก.พ.เป็นต้นไป จะมีการเพิ่มจุดรับลงทะเบียนที่ธนาคารของรัฐ 2 แห่ง คือ ธนาคารอออมสิน ธ.ก.ส. นอกจากนี้กระทรวงคลัง จะจัดทีมลงไปรับลงทะเบียนในกลุ่มพื้นที่ห่างไกลด้วย โดยขณะนี้ได้ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยเรื่องพื้นที่ต่างๆ เรียบร้อยแล้ว”

สำหรับกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน ซึ่งลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 15-25 ก.พ.2564 จะได้รับเงินเข้าวันที่ 5 มี.ค.นี้เป็นงวดแรก ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนถัดไป ซึ่งขณะนี้กระทรวงกรวงการคลังขยายเวลารับลงทะเบียนถึงวันที่ 5 มี.ค.2564 นั้น หากเป็นผู้ได้รับสิทธิก็จะได้รับเงินสมทบตามงวดที่กำหนดจนถึง 7 พันบาทเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับสิทธิในโครงการ ”เราชนะ” สามารถกดรับสิทธิ์ได้จนกว่าจะจบโครงการในเดือนมี.ค.2564

สำหรับกลุ่มที่ลงทะเบียนในโครงการ“เราชนะ”เพิ่มเติม จำนวน 11.3 ล้านคน ขณะนี้ ผ่านการตรวจสอบและได้รับสิทธิแล้วจำนวน 7.9 ล้านคน โดยอย่างช้ากระทรวงการคลังจะตรวจสอบสิทธิกลุ่มผู้ที่ลงทะเบียนเราชนะกลุ่มนี้ทั้งหมดภายในวันที่ 21 ก.พ.2564

ส่วนการทุจริตโครงการ “เราชนะ” เช่น การก่อตั้งแอป “ไทยชนะ”ขึ้นมาและให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัว หรือ ทำแอปปลอมขึ้นมานั้น ขณะนี้ ได้ส่งเรื่องนี้ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ตรวจสอบกรณีเหล่านี้อยู่เพราะถือว่าการกระทำดังกล่าวมีความผิดฐานหลอกลวง