'โภชนเภสัช' มาแรงรับเทรนด์สุขภาพ

'โภชนเภสัช' มาแรงรับเทรนด์สุขภาพ

ก่อนโควิด-19 ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม มีการเติบโตอยู่อย่างต่อเนื่อง จากการที่คนเริ่มหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ป้องกันโรค และมีชีวิตที่ยืนยาว จากเดิมที่มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ราว 10% กลับเติบโตขึ้นกว่า 20% จากสถานการณ์โควิด และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ภาพรวมตลาดกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพยังเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าปีละ 10-15% โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ปี 2563 ถึง ปี 2564 โดยในปี 2563 เติบโตมากกว่า 20% ขณะที่บริษัทฯ ยอดขายในสินค้ากลุ่มนี้เติบโต 25% เป็นผลจากผู้บริโภคทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยดูแลและรักษาสุขภาพ เพื่อไม่ให้เกิดโรค โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน เป็นต้น ที่ถือเป็นโรคกลุ่มเสี่ยงและเป็นอันตราย หากติดเชื้อโควิด-19

“ดร.ตฤณวรรธน์ ธนิตนิธิพันธ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเทรนด์คนหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ต้องการป้องกันโรคและมีชีวิตที่ยืนยาว ก่อนโควิด-19 มีการเติบโต 10% แต่หลังจากมีโควิด อาหารเสริมวิตามินต่างๆ โต 20% มูลค่าราว 2,000 ล้านบาท 

รวมถึงได้เห็นการการเกิดขึ้นของน้ำวิตามิน อาหารเสริมใหม่ๆ ที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงในช่วงนี้ค่อนข้างมาก ขณะเดียวกัน คนซึ่งต้องอยู่บ้านไม่ได้ไปไหน ก็จะเริ่มเสิร์จหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ขณะที่ อินเตอร์ ฟาร์มา เติบโต 25% ถือว่าไม่ได้รับผลกระทบเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น ท่องเที่ยว โรงแรม ฯลฯ

161341071061

เทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยม คือ โภชนเภสัช” (Nutraceuticals) หรือโภชนบำบัด เป็นการรวมกันระหว่าง Nutrition และ Pharmaceutical การบริโภคอาหารที่เป็นยาไปในตัว กึ่งอาหารเสริม กึ่งยา เหนือกว่าอาหารเสริม แต่ไม่ถึงยา แต่แตกต่างจากอาหารเสริมทั่วไป คือ โรงพยาบาลให้การยอมรับ และนำไปใช้ ถึงแม้จะจดทะเบียนเป็นอาหารเสริม โดย โภชนบำบัด ที่มาแรงอันดับหนึ่ง คือ โปรไบโอติก (Probiotics)

ทั้งนี้ โปรไบโอติก เป็นจุลินทรีย์ขนาดเล็กซึ่งจัดเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ชนิดดี สามารถพบได้ในอาหาร เช่น นมเปรี้ยว โยเกิร์ต กิมจิ มิโสะ เป็นต้น เป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิต เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้สุขภาพดีในภาวะต่างๆ มีคุณสมบัติทนต่อกรดและด่าง สามารถจับที่บริเวณผิวของเยื่อบุลำไส้แล้วผลิตสารต่อต้านหรือกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ รวมถึงก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพได้

“โปรไบโอติก อยู่ในร่างกายของเรา 10 ต่อ 1 ทุกจุดของร่างกายหากมีสมดุลอยู่จะไม่เป็นโรค เช่น ลำไส้ หากมีแบคทีเรียที่ดี จะไม่เป็นลำไส้แปรปรวน ท้องผูก ท้องเสีย ลำไส้อักเสบ หรือกระเพราะ ขณะเดียวกัน ในส่วนของผิว เช่น ผิวหน้า หากแบคทีเรียที่ดียังชนะอยู่ จะมีผิวหน้าที่ดี แต่หากเชื้อไม่ดีชนะ เช่น เชื้อแอคเน่ จะทำให้เราเป็นสิว หรือ เชื้อยีสต์ จะทำให้เป็นเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) หรือโรคที่มีภาวะผิวหนังอักเสบจากต่อมไขมันในชั้นผิวหนัง”

ขณะที่ ในช่องปาก ก่อให้เกิดฟันผุ มีกลิ่นปาก ส่วนจุดซ่อนเร้น หากเชื้อโรคเชื้อราที่ไม่ดี ก็อาจจะทำให้เกิดตกขาว เป็นต้น ดังนั้น แบคทีเรียที่ดีต้องอยู่ในจุดที่สมดุล ดังนั้น โภชนเภสัช ทางด้านโปรไบโอติก จึงมาแรง ปัจจุบัน โปรไบโอติก ถูกรับรองให้ใช้ในโรงพยาบาลต่างๆ และศูนย์สุขภาพชะลอวัย เช่น ชีวาศรม รวมถึง ศูนย์ผู้มีบุตรยากซึ่งโปรไบโอติกทำให้ความสมดุลของเซลล์ดีขึ้น การเอาไปให้สามีภรรยาทานก่อนทำเด็กหลอดแก้ว เพื่อให้ความสำเร็จของการเกิดมากขึ้น

“คนไทยเริ่มหันมาให้ความสนใจ โภชนเภสัช กันมากขึ้น ขณะที่ในสหรัฐอเมริกา และ ยุโรป ได้รับความนิยมมาแล้วก่อนหน้านี้ และแนวโน้มว่า หลังโควิด-19 จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ซึ่งนอกจากโภชนเภสัชที่แล้ว เวชสำอาง และเทคโนโลยี ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ก็ยังเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง” ดร.ตฤณวรรธน์ กล่าว

161341071083

ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมามนุษย์โลกประสบปัญหาโรคติดเชื้อ แต่ปัจจุบัน หากไม่นับโควิด-19 พบว่า ประชากรทั่วโลกเริ่มประสบโรคอ้วนซึ่งเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขมานาน เช่น ในสหรัฐอเมริกา พบว่า เกือบ 50% พบปัญหาโรคอ้วน และในเมืองไทยก็มีอัตราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โปรไบโอติก จึงเข้ามามีบทบาทในคนที่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม (Metabolic syndrome)

นพ.นรินทร สุรสินธน ผู้อำนวยการแพทย์ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ บางกระเจ้า และ ผู้อำนวยการด้านปฏิบัติการศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ให้ข้อมูลว่า โปรไบโอติก หรือ แบคทีเรียในลำไส้ มีเป็นร้อยเป็นพันชนิด ตอนนี้มีการศึกษามากขึ้นเรื่อยๆ ว่าชนิดไหนบ้างที่มีผลดีต่อร่างกาย โดยมีตัวอย่างงานวิจัยจากการทดลองในหนู แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ เลี้ยงด้วยอาหารสุขภาพ และ กลุ่มเลี้ยงด้วยอาหารฟาสฟู้ด รวมถึงแบ่งกลุ่มย่อย คือ กลุ่มที่ได้รับโปรไบโอติก และไม่ได้รับ

“จากการติดตามดูปริมาณไขมันในร่างกายของหนู พบว่าตัวที่ให้กินอาหารไม่ดีต่อสุขภาพ น้ำหนักขึ้นเยอะ แต่กลุ่มที่ได้โปรไบโอติก น้ำหนักขึ้นน้อยกว่า และกลุ่มที่ทานอาหารสุขภาพ น้ำหนักขึ้นน้อยกว่ากินอาหารไม่ดีต่อสุขภาพ และได้โปรไบโอติกน้ำหนักขึ้นน้อยเช่นกัน ดังนั้น โปรไบโอติก ทำให้อัตราการควบคุมน้ำหนักทำได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม การคุมอาหาร ยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมน้ำหนัก” 

161341071121

ด้าน “พญ.วิมลจันทร์ วุฒิคงสมบัติ” แพทย์ชำนาญการ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ อธิบายว่า เวลาพูดถึง โปรไบโอติก ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่ดีต่อร่างกาย เขากับเราทำงานร่วมกันมานาน ลำไส้ มีความสำคัญ คือ เป็นแหล่งภูมิคุ้มกันที่เยอะที่สุดในร่างกาย มากกว่าเม็ดเลือดขาวในกระแสเลือด และลำไส้ทำหน้าที่เป็นสมองที่ 2 ของร่างกายได้ด้วย หากจุลินทรีย์ในร่างกายทำงานได้ดี ก็สามารถทำงานเป็นสมองที่สอง เสริมภูมิต้านทาน ทุกคนอาจจะเคยรู้สึกว่า เวลาเครียด วิตกกังวล ลำไส้ก็จะมีการปั่นป่วนไปด้วย อารมณ์ ความรู้สึก การปฏิบัติตัวมีผลต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ ดังนั้น อาหาร และ พฤติกรรม ที่ไม่ดีย่อมส่งผลต่อลำไส้เช่นกัน

  • เมตาบอลิกซินโดรม

การวินิจฉัยว่าตัวเองเป็นภาวะเมตาบอลิกซินโดรม เบื้องต้น คือ ลองวัดรอบเอวจุดที่กว้างที่สุดต้องไม่เกิน 80 ซม. และผู้ชาย 90 ซม. แต่ทั้งหมดคือการวินิจฉัยคร่าวๆ ขณะที่ ไขมันในช่องท้องที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อไขมันรวมตัวเป็นปริมาณเยอะๆ สิ่งที่เกิดขึ้น คือ จะทำตัวเป็นอวัยวะอันใหม่ที่ไม่สามารถควบคุมได้ หลั่งสารเคมีกระตุ้นการอักเสบ นำไปสู่การก่อโรค โดยสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดไขมันในช่องท้อง คือ การบริโภคอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรท และไขมันที่มากเกินไป รวมกับมีกิจกรรมระหว่างวันลดลง อาจเพราะมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากขึ้น และชีวิตประจำวันที่ค่อนข้างยุ่ง ไม่ได้ออกกำลังกาย

อย่างไรก็ตาม หลักในการดูแลตัวเองในการควบคุมน้ำหนัก องค์ประกอบภาพรวม คือ จำเป็นต้องมีเรื่องของภาวะโภชนาการ และ กิจกรรม และการใช้นวัตกรรมบางอย่างเป็นตัวช่วย เช่น การใช้เทคโนโลยีในการติดตามกิจกรรม หรือใช้นวัตกรรมเครื่องชั่งน้ำหนักประเมินตัวเองที่ให้ข้อมูลมากขึ้นกว่าข้อมูลน้ำหนัก สามารถนำไปเปรียบเทียบกับส่วนสูง ทำให้เกิดความตระหนักรู้และจริงจังกับการลดน้ำหนักได้มากขึ้น

สิ่งสำคัญ คือ มีความสมดุลในการรับประทานอาหารระหว่างวัน ไม่รับประทานอาหารเกินกว่าแคลอรี่ที่เราเผาผลาญได้ในแต่ละวัน หรือเพิ่มกิจกรรมระหว่างวัน เพิ่มการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญ ลดความเครียด จัดการความเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ