กองทุนหุ้นจีน vs กองทุนหุ้นเทคโนโลยี

กองทุนหุ้นจีน vs กองทุนหุ้นเทคโนโลยี

การลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศที่เน้นลงทุนในหุ้น ยังคงได้รับความสนใจอย่างมากตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีมาจนปถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะกองทุนหุ้นจีน และกองทุนหุ้นเทคโนโลยี แล้วทั้งสองกองทุนมีลักษณะเด่นอย่างไรบ้าง? มีแนวโน้มเป็นอย่างไร?

ตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงต้นปีนี้ การลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศที่เน้นลงทุนในหุ้นยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากการลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนในระดับต่ำ ตามอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยในปีที่ผ่านมากลับปรับตัวลดลง สวนทางกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก และถึงแม้ในช่วงต้นปีนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาพอสมควร แต่การปรับขึ้นก็ยังคงเป็นอัตราที่น้อยกว่าตลาดหุ้นหลักส่วนใหญ่

สำหรับกองทุนรวมต่างประเทศที่เน้นลงทุนในหุ้นที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และยังคงสร้างผลตอบแทนได้ดีจนถึงต้นปีนี้ ได้แก่ กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นจีน และกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยมีหลายปัจจัยสนับสนุน ซึ่งผมได้กล่าวถึงไปคร่าวๆ ในบทความเมื่อเดือนที่แล้ว ในครั้งนี้ผมจะขอลงในรายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อที่นักลงทุนจะนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนครับ

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยปัจจัยหลักที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของตลาดหุ้นจีน ได้แก่ การเติบโตของเศรษฐกิจจีน โดยในปีที่แล้วเศรษฐกิจจีนขยายตัว 2.3% นับเป็นประเทศเศรษฐกิจหลักเพียงประเทศเดียวที่มีการเติบโตในปีที่ผ่านมา สำหรับในปีนี้ ไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวสูงถึง 8.1% และหากลงลึกในรายละเอียดของการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปีที่ผ่านมาจะพบว่า ภาคการผลิตยังคงขยายตัวได้ดี

ในขณะที่ภาคบริการซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุด หดตัวเล็กน้อยตามการหดตัวในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรมและร้านอาหาร ซึ่งเป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการระบาดของโควิด-19 ในขณะที่ภาคบริการที่กลับเติบโตอย่างโดดเด่นได้แก่ หมวดที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลจีนที่ต้องการให้จีนเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี 

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนมีแนวโน้มที่จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้ปรับลดดอกเบี้ย อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ เพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น ในด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ รัฐบาลสนับสนุนการพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบจากภายนอก หลังจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จีนได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้ากับสหรัฐ ในด้านการลงทุน รัฐบาลทยอยผ่อนคลายกฎเกณฑ์การลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้มีเงินลงทุนไหลเข้าตลาดหุ้นจีนมากขึ้น ท่ามกลางสภาพคล่องในตลาดโลกที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะหลังรัฐบาลสหรัฐมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

ส่วนกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงมีแนวโน้มที่ดีในระยะยาวถึงแม้ราคาปรับตัวขึ้นมามากในปีที่แล้ว เนื่องจากปัจจุบันยังคงเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของการใช้เทคโนโลยี 5 จี ซึ่งยังมีโอกาสในการพัฒนาอีกมาก โดยในช่วงที่หลายประเทศใช้มาตรการล็อกดาวน์ เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันกับคนทั่วโลกมากขึ้น เช่น การประชุมทางไกล การค้าขายออนไลน์ การพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่ใช้ในด้านต่างๆ เช่น เพื่อความบันเทิง และมีแนวโน้มว่าหลังสิ้นสุดการระบาดของโควิด-19 แล้ว ลักษณะการทำงานอาจเปลี่ยนเป็นการทำงานโดยใช้เทคโนโลยีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หลายประเทศต่างแข่งขันกันพัฒนาเทคโนโลยี โดยบางประเทศได้เริ่มพัฒนาเทคโนโลยี 6 จีแล้ว ซึ่งการแข่งกันพัฒนานี้จะเป็นส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่องของหุ้นในกลุ่มนี้

สำหรับการลงทุนของกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นจีน มีทั้งกองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ ลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นทั่วโลก และกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีน ฮ่องกง ไต้หวัน มาเก๊า เป็นต้น โดยมีทั้งกองทุนที่ลงทุนเลียนแบบดัชนี (passive fund) และกองทุนที่บริหารแบบเชิงรุกโดยการคัดสรรการลงทุนในหุ้นรายตัว (active fund) ทั้งนี้ การลงทุนของกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนจะมีการกระจายการลงทุนไปในหลายหมวดธุรกิจ ซึ่งจะช่วยในแง่ของกระจายความเสี่ยง ในส่วนความเสี่ยงจากการลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นจีนที่สำคัญได้แก่ ปัญหาความขัดแย้งกับสหรัฐ ทั้งในแง่การค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ส่วนการลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะเป็นการลงทุนในหุ้นกลุ่มเดียว โดยบางกองทุนอาจจะมีการเน้นการลงทุนที่จำกัดมากขึ้น เช่น เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มอินเทอร์เน็ต เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มอีคอมเมิร์ซ เป็นต้น ส่งผลให้มีความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจเพียงกลุ่มเดียว กล่าวคือ หากกลุ่มธุรกิจเติบโตได้ดี กองทุนมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนได้สูง แต่หากกลุ่มธุรกิจดังกล่าวมีแนวโน้มแย่ลง เช่น มีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่ หรือนักลงทุนย้ายเงินลงทุนไปลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่น กองทุนก็อาจปรับตัวลงแรงได้เช่นกัน

ข้อมูลที่นำเสนอในครั้งนี้ เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและประเมินความเสี่ยงของท่านก่อนการตัดสินใจลงทุน เนื่องจากกองทุนทั้ง 2 ประเภทนี้เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง และอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมหากกองทุนไม่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินครับ