กรมอนามัย แนะตรุษจีน ใช้หลัก 4 ล. ลดควัน ลดเพิ่มฝุ่น PM2.5

กรมอนามัย แนะตรุษจีน ใช้หลัก 4 ล. ลดควัน ลดเพิ่มฝุ่น PM2.5

กรมอนามัย แนะคนไทยใช้หลัก 4 ล. ‘เลือก ลด เลี่ยง ล้าง’ ลดควัน ลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพตามมา เผยผลสำรวจ 5-7 ก.พ. ที่ผ่านมา พบประชาชนร้อยละ 95.3 มีการจุดธูปในช่วงเทศกาล และร้อยละ 83.5 มีการเผากระดาษเงิน กระดาษทอง

วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2564) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยในการแถลงข่าว สถานการณ์ผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก ผลกระทบจากการจุดธูป การเผากระดาษเงิน กระดาษทอง และแนวทางลดและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ รณรงค์ตรุษจีน “ใช้ธูปสั้น ลดควัน ลดฝุ่น” ณ วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ว่า ภาพรวมปริมาณ PM2.5 ในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น โดยมีปริมาณ PM2.5 อยู่ระหว่าง 4–77 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยพบค่าฝุ่นละอองยังเกินมาตรฐานในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในช่วงวันที่ 9-10 กุมภาพันธ์ คาดว่าปริมาณฝุ่น PM2.5 จะลดลง เนื่องจากมีพายุฝนและลมมีกำลังแรงขึ้นในหลายพื้นที่ แต่หลังจากวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน ลมจะมีกำลังอ่อนลง อาจทำเกิดการสะสมของฝุ่นละอองเพิ่มขึ้นในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และภาคกลางได้ จึงขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์ PM2.5 สวมหน้ากากป้องกัน เลี่ยงหรือลดกิจกรรมกลางแจ้งเฝ้าระวังสุขภาพตนเองและคนในครอบครัว และลดหรืองดการเผาทุกชนิด เพื่อช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองสะสมในบรรยากาศ

161278283069

นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า เทศกาลตรุษจีนปีนี้ ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งการไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษที่ปฏิบัติ สืบทอดกันมาเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิตและคนในครอบครัว กรมอนามัยจึงมีคำแนะนำประชาชนเพื่อร่วมกัน ลดควัน ลดฝุ่น ลดผลกระทบต่อสุขภาพ โดยใช้หลัก 4 ล. คือ 1) ล. เลือก ให้เลือกใช้ธูปขนาดสั้นแทนธูปขนาดยาว เพื่อให้เกิดควันน้อยกว่า เลือกกระดาษเงิน กระดาษทองที่มีฉลากและแสดงข้อความครบถ้วน เช่น วิธีใช้ การเก็บรักษา คำเตือน เพื่อความปลอดภัย ชื่อที่อยู่ผู้ผลิตและผู้นำเข้า ลักษณะภาชนะบรรจุอยู่ในสภาพเรียบร้อย

2) ล. ลด ให้ลดระยะเวลาจุดธูป ดับให้เร็วขึ้น และสวมหน้ากากป้องกันฝุ่นละอองเพื่อลดปริมาณฝุ่นเข้าสู่ร่างกาย 3) ล. เลี่ยง ให้เลี่ยงการจุดธูปหรือ เผากระดาษเงิน กระดาษทอง ในบริเวณที่อากาศไม่ถ่ายเทหรือถ่ายเทไม่สะดวก หากต้องจุดธูปภายในบ้าน ควรเปิดประตู หน้าต่าง หรือจุดนอกบ้านในพื้นที่เปิดโล่ง สำหรับวัดหรือศาลเจ้าควรตั้งกระถางธูปไว้นอกอาคารหรือในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก รวมทั้งเลี่ยงจุดธูปปักลงอาหาร หรือเผากระดาษเงิน กระดาษทอง ในบริเวณใกล้กับอาหาร เพราะอาจหล่นหรือปลิวของขี้เถ้า ซึ่งมีโลหะหนักลงสู่อาหารและน้ำดื่ม ส่วนเด็กเล็กหรือผู้ที่มีโรคภูมิแพ้ หรือโรคระบบทางเดินหายใจ ควรเลี่ยงการอยู่ใกล้บริเวณที่จุดธูปหรือเผากระดาษเงิน กระดาษทอง

และ 4) ล.ล้าง เมื่อเสร็จพิธีกรรม หรือหลังสัมผัสธูปหรือกระดาษเงิน กระดาษทอง ควรล้างมือ ล้างหน้า ล้างตา และเก็บกวาดก้านธูป ขี้เถ้า ใส่ถุงและมัดปากถุงให้แน่น ป้องกันการฟุ้งกระจายเข้าสู่ร่างกายและสิ่งแวดล้อม นำไปกำจัดอย่างถูกต้อง ไม่ทิ้งรวมกับขยะทั่วไป

“ทั้งนี้ ผลการสำรวจอนามัยเกี่ยวกับผลกระทบและพฤติกรรมของประชาชนในช่วงเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 5-7 กุมภาพันธ์ 2564 พบว่า ประชาชนร้อยละ 95.9 มีการจุดธูปในช่วงเทศกาล และร้อยละ 83.6 มีการเผากระดาษเงิน กระดาษทอง โดยพฤติกรรมการจุด/เผา พบว่า ร้อยละ 53.5 เผาแล้วปล่อยให้ดับเอง และร้อยละ 44.1 มีภาชนะรองรับ ขณะเผาแต่ไม่มีฝาปิด สำหรับผลกระทบต่อสุขภาพขณะที่จุดธูป เผากระดาษเงิน กระดาษทอง ที่พบมากที่สุดคือ มีอาการแสบตา ร้อยละ 70.1 รองลงมาคือ แสบจมูก ร้อยละ 54.3 และหายใจลำบาก ร้อยละ 21.3 ส่วนการกำจัดขี้เถ้าจากธูป กระดาษเงิน กระดาษทอง พบว่า ร้อยละ 52.0 เก็บใส่ถุงทิ้งลงถังขยะ และร้อยละ 40.2 ทิ้งลงดินหรือใส่ต้นไม้” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด

161278283054

ทางด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.วัฒน์สิทธิ์ ศิริวงศ์ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ธูปหรือกระดาษเงินกระดาษทอง มีส่วนประกอบของสารปนเปื้อนที่ต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น สารอินทรีย์ระเหยง่าย โลหะหนัก ซึ่งมาจากส่วนผสมหลักในการผลิต เช่น สีและกลิ่น ซึ่งส่วนผสมเหล่านี้เมื่อเกิดการ เผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ จะทำให้เกิดเถ้าลอย อนุภาคฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5 และ PM10) และก๊าซพิษที่มีองค์ประกอบโลหะหนัก เช่น อะลูมิเนี่ยม เหล็ก แมงกานีส ตะกั่ว สังกะสี นิเกิล โครเมี่ยม และแคดเมี่ยม เป็นต้น สารระเหยง่าย เช่น สารกลุ่มไดออกซิน (Polychlorinated dibenzo-p-dioxin/ dibenzofuran, PCDD/F) และสารกลุ่มโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic aromatic hydrocarbons, PAHs) เบนซีน (Benzene) และ 1, 3-บิวทาไดอีน (1,3-butadiene) เป็นต้น

เมื่อสารเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายจากการสัมผัส โดยเฉพาะผ่านทางการหายใจ อาจจะทำให้เกิด ผลกระทบต่อสุขภาพเฉียบพลัน เช่น ไอ จาม หายใจขัด ระคายเคืองตา และหากสัมผัสเป็นประจำระยะยาว อาจทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น ภูมิแพ้ หอบหืด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง และ ปอดอักเสบ และอาจกลายเป็นมะเร็งได้ นอกจากนี้อาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจ และพาร์กินสันในระยะยาวได้อีกด้วย


“สำหรับขี้เถ้าที่เกิดจากการเผานั้น ยังคงมีโลหะหนักข้างต้นปนเปื้อน ซึ่งหากมีการกำจัดที่ไม่ถูกต้องและอาจจะ เข้าสู่ห่วงโซ่อาหารก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์และปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามอีกด้วย ดังนั้น ประชาชนผู้ใช้ธูปหรือกระดาษเงินกระดาษทอง ควรมีความตระหนักในการดูแลตนเองในการลดความเสี่ยงจากการสัมผัส เช่น การสวมหน้ากาก ล้างมือหลังจากจุดหรือเผา ทิ้งเศษผงขี้เถ้าในภาชนะที่จัดเก็บเพื่อการกำจัดทำลายอย่างถูกต้อง ลดการใช้ในอาคารบ้านเรือน หรือบริเวณที่อากาศไม่ถ่ายเท เป็นต้น” รองศาสตราจารย์ ดร.วัฒน์สิทธิ์ กล่าว