แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหวั่นไวรัสกลายพันธุ์ก่อปัญหา'วัคซีนโควิด-19'

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหวั่นไวรัสกลายพันธุ์ก่อปัญหา'วัคซีนโควิด-19'

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหวั่นไวรัสกลายพันธุ์ก่อปัญหาวัคซีนโควิด-19 พบพื้นที่กลายพันธุ์มากประสิทธิภาพต่อวัคซีนลดลง ต้องจับตาใกล้ชิด เชื่อไทยไม่กระทบเหตุเชื้อเป็นโครงสร้างเดิม ชงไทยปรับแผนฉีดกลุ่มแรกแบบปูพรม 1 เข็มก่อน เกิดผลข้างเคียงรุนแรงจากวัคซีน รัฐจ่าย

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 2 ก.พ.2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ แถลงข่าวความคืบหน้าวัคซีนโควิด-19ว่า ทั่วโลกมีการฉีดวัคซีนโควิด-19ไปแล้วราว 100 ล้านโดส โดยมี 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มขึ้นทะเบียนฉุกเฉินในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ยุโรป อเมริกา เป็นวัคซีนของไฟเซอร์ โมเดอร์นา แอสตราเซนเนก้า ซึ่งประเทศไทยก็ขึ้นทะเบียนของแอสตราฯเพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉินแล้วเช่นกัน แต่แม้ในภาวะฉุกเฉินก็ไม่ย่อหย่อนเรื่องความปลอดภัย หรือคุณภาพในการที่จะยอมให้ผ่าน เรื่องนี้สำคัญมาก และ 2.กลุ่มประเทศใช้กรณีฉุกเฉินหลายประเทศร่วมในการวิจัย เช่น อินโดนีเซีย จีน บราซิล และอินเดีย รัสเซีย โดยเป้าหมายของวัคซีนคือลดป่วย ลดเสียชีวิตและลดแพร่เชื้อ เพราะเมื่อไม่ป่วยหรือไม่มีอาการก็เชื้อน้อยก็จะไม่แพร่เชื้อ


ข้อมูลล่าสุด 1-2 วันที่ผ่านมา ประเทศอิสราเอลฉีดวัคซีนให้ประชากรในประเทศแล้ว 55% และยังฉีดต่อ ปรากฎว่า คนป่วยลดลง 30% แล้ว อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยการระบาดต่ำกว่าเมื่อเทียบอิสราเอล แต่มีประชากรมากกว่า 10 เท่า อัตราเฉลี่ยคนที่ป่วยหรือติดโควิด-19ในไทย ยังต่ำอยู่ เพราะฉะนั้น การเห็นผลของการฉีดวัคซีนในประเทศไทยที่มีผู้ติดเชื้อต่ำกว่า 1 พันรายต่อวันคงเห็นผลได้ช้า เพราะมีมาตรการอื่นในการป้องกันการติดเชื้อ แต่ก็ต้องฉีดเพราะถ้าเปิดช่องว่างเชื้อจะจู่โจมได้

0รัฐจ่ายชดเชยเกิดผลข้างเคียงรุนแรง
รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าวอีกว่า วัคซีนเวลาฉีดเข้าไปเป็นชีววัตถุ ผลข้างเคียงเล็กน้อยมีอยู่แล้ว เช่น ปวด บวม แดง ร้อน โดยวัคซีนของแอสตราฯ พบ 70% ส่วนกลุ่มฉีดน้ำเกลือ พบ 50% และหลังฉีดเข็มแรกของแอสตราฯจะมีผลข้างเคียงสูงกว่าเข็มสอง เพราะร่างกายเคยชิน และ ผลข้างเคียงระดับนี้ ส่วนใหญ่กินพาราเซตามอล หรือนอนพักก็หาย แต่หากเป็นผลข้างเคียงชนิดรุนแรง จนต้องรับตัวไว้ในรพ. มีไข้สูงมากจนกลัวว่าอาจจะมีผลกระทบสมอง ในกลุ่มวัคซีนแอสตรา ฯเจอ 0.7% กลุ่มน้ำเกลือ เจอ 0.8% ไม่แตกต่างกัน จะเห็นว่าผลข้างเคียงรุนแรงก็เกิดขึ้นได้ แต่อาการส่วนใหญ่ไม่รุนแรง เมื่อนำมาฉีดในประเทศไทยแล้วเกิดกรณีมีความสาญเสียถึงกับพิการหรือเสียชีวิต ถ้าผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากวัคซีน รัฐจะจ่ายชดเชย

ปัจจัยทำให้เกิดผลข้างเคียง เป็นปัจจัยเฉพาะตัว ไม่ทราบว่าใครจะเกิดผลข้างเคียงมากกว่า กัน แต่วัคซีนแอสตราฯในคนอายุน้อยกว่า 65 ปีเจอผลข้างเคียงปวด บวม แดง ร้อน มากกว่าผู้ที่อายุ 65 ปี หากเป็นผลข้างเคียงที่รุนแรง เนื่องจากแอสตราฯเริ่มใช้ในหลายประเทศ เท่าที่รับฟังข้อมูลมายังไม่เห็นมากแต่ต้องรอดูขอ้มูลต่อไป ส่วนวัคซีนของไฟเซอร์ ฉีดในอเมริกามีโอกาสเกิดผลข้างเคียงรุนแรงชนิดช็อก แบบไม่รู้สึกตัวล้ม ณ จุดที่ฉีด เจอ 11 ใน 1 ล้านโดส ถ้าวัคซีนของโมเดอร์นา เจอ 3.7 ใน 1 ล้านโดส ขณะที่วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ใช้อยู่นั้น เจอ 1 ใน 1 ล้าน


“ข้อมูลวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นาที่แพ้ขนาดช็อค 95 % เกิดขึ้นในผู้หญิง 90-95% เกิดใน 15 นาทีหลังฉีดจึงเป็นที่มาทำไมหลังฉีดต้องอยู่ในหน่วยบริการอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงเพื่อดูผลข้างเคียง ส่วนของแอสตราฯยังไม่มีข้อมูล อยู่ในระยะการเริ่มฉีด และของซิโนแวค ตัวนี้แพลตฟอร์มการทำมาจากเชื้อตาย ที่มีมา 70-80 กว่าปี ใช้มานานในไข้หวัดใหญ่ ไข้สมองอักเสบเจอี โปลิโอชนิดฉีด เจอผลข้างเคียงต่ำ หลายคนก็มั่นใจว่าผลข้างเคียงน่าจะน้อย แต้ยังไม่เห็นที่เป็นรายงานชัดเจน ซึ่งจากที่มีการใช้แล้วในอินโดนีเซีย จีน เมียนมา และ หลายประเทศ ประมาณ 4-5 ล้านโดส ประเทศไทยจึงอยากเห็นว่า 4-5 ล้านโดสฉีดแล้วเป็นอย่างไร อยู่ระหว่างขอข้อมูลส่วนนี้ให้กับประเทศไทยประกอบการพิจารณาขึ้นทะเบียนแบบฉุกเฉิน”รศ.(พิเศษ)นพ.ทวีกล่าว

0 ชงไทยปูพรมฉีด 1 เข็มก่อน
รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าวอีกว่า จากข้อมูลการปูพรมฉีดวัคซีนในประเทศอเมริกาเพียง 1 เข็ม สามารถป้องกันได้ 50-80% โดยของโมเดอร์นาป้องกันได้ 80% จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน 70 % และไฟเซอร์ 50% จึงมีการปูพรมฉีดเพียงแข็มแรกก่อนเพราะมีโอกาสป้องกันได้ ส่วนเข็มที่ 2 เมื่อไหร่พร้อมจึงค่อยฉีด ซึ่งคณะกรรมการวิชาการกำลังพิจารณาเสนอให้มีการฉีดเพียง 1เข็มก่อนในกลุ่มเสี่ยงที่เป็นบุคลากรด่านหน้าทั้งด้านสาธารณสุข มั่นคง และปกครอง เพราะในส่วนของวัคซีนแอสตราฯหากฉีดเข็ม 2 ห่างจากเข็มแรก 12 สัปดาห์ ผลจะดีกว่าฉีดห่างกัน 6,8สัปดาห์ จึงจะให้มีการกวาดฉีดเข็มแรกก่อนแล้วอีก 12 สัปดาห์ค่อยฉีดเข็มที่ 2

0ไวรัสกลายพันธุ์ก่อปัญหาวัคซีนโควิด
รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีเชื้อกลายพันธุ์ใหญ่ใน 3 ประเทศ คือ อังกฤษ บราซิล และแอฟริกาใต้ ปรากฎว่า วัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสันที่ศึกษาในอเมริกาซึ่งมีเชื้อกลายพันธุ์น้อยมีประสิทธิภาพ 72 % แต่ในแอฟริกาใต้ ประสิทธิภาพ 57 % ผลต่างกัน 15 % ซึ่งพบว่าช่วงการศึกษาในแอฟริกาใต้มากกว่า 95 %เป็นเชื้อกลายพันธุ์ เพราะฉะนั้น เชื้อกลายพันธุ์กำลังก่อปัญหา อาจทำให้การตอบสนองต่อวัคซีนลดลง ส่วนวัคซีนนาโนแวกซ์ ศึกษาในอังกฤษประสิทธิผล 90 % เป็นเชื้อที่กลายพันธุ์ในอังกฤษ แต่เมื่อศึกษาในแอฟริกาใต้ที่เป็นเชื้อกลายพันธุ์ มีประสิทธิภาพ 60 % มีผลแตกต่างกันในเชื้อกลายพันธุ์ของ 2 ประเทศถึง 30 % ดังนั้น เชื้อกลายพันธุ์อาจก่อปัญหาต่อประสิทธิภาพตอบสนองต่อวัคซีน แต่จะมากน้อยแค่ไหนยังตอบไม่ได้


รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าวอีกว่า ขณะนี้ไฟเซอร์และโมเดอร์นา กำลังนำเลือดที่มีภูมิคุ้มกันของคนที่ร่วมศึกษาวิจัยในอเมริกามาตรวจสอบพบว่ายังจัดการเชื้อในอเมริกาได้อยู่ แต่ในอเมริกาเชื้อกลายพันธุ์น้อยกว่าในอังกฤษและแอฟริกาใต้ เช่นเดียวกับแอสตราฯช่วงวิจัยในอังกฤษเป็นช่วงที่เชื้อยังไม่กลายพันธุ์ ขณะนี้จึงกำลังวิเคราะห์เข้มข้นในการนำเลือดของคนไข้ที่เข้าร่วมวิจัยมาทดสอบกับเชื้อใหม่ ถ้าพบว่ามีประสิทธิภาพแตกต่างก็มีปัญหา จึงเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามและจับตาใกล้ชิด

0 วัคซีนไม่กระทบเชื้อในไทย
“สำหรับประเทศไทยเจอเชื้อกลายพันธุ์จากประเทศอังกฤษ โดยพบเชื้อกลายพันธุ์ครบอครัวหนึ่งจากประเทศอังกฤษพบในระหว่างกักตัวในสถานที่กักกัน จึงให้มีการกักตัวยาวนานขึ้นจนมั่นใจ เพราะฉะนั้น เชื้อกลายพันธุ์ในประเทศไทยยังไม่ก่อปัญหา และเชื้อที่ระบาดอยู่ในประเทศไทยมาจากเมียนมาที่ไวรัสยังเป็นโครงสร้างเก่า ในประเทศไทยเชื้อดื้อวัคซีนยังไม่ก่อปัญหามากในไทย แต่อาจก่อปัญหาในประเทศที่เชื้อระบาดหนัก ดังนั้น ประเทศที่พัฒนาแล้วจึงมีการปูพรมฉีด 1 เข็มก่อน เผื่อในอีกระยะหนึ่งอาจฉีดวัคซีนเข็ม2 ด้วยเชื้อใหม่” รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าว