“จักรไพศาล เอสเตท” หุ้นอสังหาฯตัวเล็กแต่เติบโต

“จักรไพศาล เอสเตท”  หุ้นอสังหาฯตัวเล็กแต่เติบโต

คงปฏิเสธไม่ได้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อ “กำลังซื้อ”เป็นวงกว้าง

ยิ่งเฉพาะในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ซึ่งถือเป็นกลุ่มธุรกิจแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว บ่งชี้ผ่านในช่วงรอบปีที่ผ่านมาลูกค้าตัดสินใจชะลอการซื้อที่อยู่อาศัย หรือ แม้แต่กู้แบงก์ไม่ผ่าน !

บริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ JAK ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม โดยโครงการแนวราบที่ผ่านมาของบริษัทอยู่ในเขตจังหวัดสระบุรี อยุธยา ชลบุรี และฉะเชิงเทรา มีโครงการที่ปิดการขายแล้วรวม 6 โครงการ ในส่วนคอนโดมิเนียม บริษัทพัฒนาในรูปแบบ Low Rise ในพื้นที่กรุงเทพฯ

18 ม.ค. ที่ผ่านมา JAK เข้าซื้อขายวันแรก (เทรด) ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (Mai) เปิดตลาดที่ 2.26 บาท เพิ่มขึ้น 0.81 บาท หรือ 55.86% จากราคาไอพีโอ 1.45 บาท ก่อนปิดตลาดที่ 2.02 บาท หรือ 39.31% ถือว่าเป็นหุ้นน้องใหม่อสังหาฯ ไม่ธรรมดา เพราะว่าวันนั้นภาพรวมของ SET INDEX เปิดตลาดมา “ร่วง” 14.73% อยู่ที่ 1,504.40 จุด แต่หุ้น JAK สามารถปรับตัวขึ้นได้ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นผันผวน

“หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ” มีโอกาสคุยกับ วีระพันธ์ จักรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ JAKบอกว่า ด้วย “จุดเด่น”ในแง่ของการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในการพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพ ควบคู่ความสามารถในการควบคุมต้นทุนระดับดีมากทำให้อัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ใน“ระดับ50%”ซึ่งถือเป็นระดับสูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมฉะนั้น แม้บริษัทจะเป็นอสังหาฯ รายเล็กก็สามารถที่จะรักษาการเติบโตได้

ทั้งนี้ ภายหลังการเข้ามาระดมทุนเป็นการปลดล็อกการเติบโตของ JAK เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาถูกจำกัดการเติบโตจากฐานะทางการเงินที่มีจำกัด แต่หลังจากเป็นบริษัทมหาชนทำให้มีช่องทางการเงินมากขึ้นและต้นทุนต่ำด้วย ดังนั้นเป็นโอกาสให้บริษัทเติบโตได้อย่าง “ก้าวกระโดด”ยิ่งขึ้น สอดรับปัจจุบันมีผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาฯ รายเล็กๆ อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ เสนอขายโครงการจำนวนมาก ซึ่งยอมรับว่ามีความสนใจในบางโครงการแต่ติดที่ราคาขายแพงไป...

“หากต้องการเติบโตรวดเร็วช่องทางการซื้อกิจการจะเป็นสิ่งที่ทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ซึ่งเรามีเงินทุนแล้วสามารถทำได้”

สำหรับแผนธุรกิจปี 2564 มีเป้าหมายเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ เป็นโครงการ ทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด รวมมูลค่าพันล้านบาท แบ่งเป็นการพัฒนาโครงการที่ จ.ชลบุรี มูลค่า 413 ล้านบาท คาดสร้างเสร็จพร้อมขายและรับรู้รายได้ไตรมาส 2 ปี 2564 และพัฒนาโครงการที่รังสิต มูลค่า 587ล้านบาท เริ่มก่อสร้างไตรมาส 3 ปี 2564 เริ่มรับรู้รายได้ปี 2565

นอกจากนี้ ในระยะยาวบริษัทยังมีที่ดินรอการพัฒนาอีก 2 แห่ง คือ ที่ดินจำนวน 2 ไร่ ย่านซอยนวลจันทร์ กรุงเทพฯ มีแผนพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมจำนวน2 อาคาร แต่ต้องพิจารณาสถานการณ์เศรษฐกิจอีกครั้งก่อนจะลงทุน และ ที่ดินอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เนื้อที่29 ไร่ คาดว่าจะพัฒนาโครงการแนวราบ ที่ดินทั้งสองแห่งถือเป็นที่ดินตั้งบนทำเลที่มีศักยภาพโดย JAK มีที่ดินเพียงพอสำหรับการพัฒนาต่อเนื่องในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า (2564-2568)

ปัจจุบันมีบริษัทมีมูลค่างานในมือ(Backlog)จำนวน 1,400 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ปี2564-2567 โดยคาดว่าผลประกอบการปีนี้จะเติบโตจากปีก่อน บนความคาดหวังว่ากำลังซื้อฟื้นตัว โดยส่วนตัวเชื่อว่าอสังหาฯ จะเป็นธุรกิจต้นๆ ที่รัฐบาลจะต้องมีนโยบายกระตุ้นเนื่องจากธุรกิจอสังหาฯ มีธุรกิจที่เกี่ยวข้องด้วยอีกหลายธุรกิจ ไม่ว่า วัสดุก่อสร้าง อิฐ , หิน , ปูน , ทราย , กระเบื้อง เป็นต้น

ฟากนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์(บล.) อาร์เอชบี (ประเทศไทย)ประเมินกำไรสุทธิปี 2564 ของ JAK อยู่ที่ 76 ล้านบาท เติบโต 3 เท่าตัว โดยปัจจัยหลักจากการเติบโตของรายได้หลักประมาณ 221% ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้รายได้มากขึ้นจากโครงการที่อยู่ระหว่างการขายทั้ง 3 แห่ง และโครงการที่เปิดใหม่นับตั้งแต่ต้นปี เช่น โซนทาวน์เฮ้าส์ของโครงการเฟิร์น โครงการ Canna โครงการทาวน์เฮ้าส์Peony

ด้านบล. ไอร่า จำกัด มองว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้จะเติบโตก้าวกระโดด โดยประเมินกำไรสุทธิที่ 75.4 ล้านบาท จากการทยอยพัฒนาและรับรู้รายได้จากทั้ง 3 โครงการ และมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว