หนุ่มใหญ่ชื่อ 'Wikipedia'

หนุ่มใหญ่ชื่อ 'Wikipedia'

ทำความรู้จัก "Wikipedia" (วิกิพีเดีย) สารานุกรมที่สามารถค้นข้อมูลต่างๆ ได้รวดเร็วทันใจ และใครๆ ก็เป็นบรรณาธิการได้ ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีอายุครบ 20 ปีแล้ว มีที่มาอย่างไร? และทำไมถึงได้รับความนิยมอย่างมาก?

ใครๆ ก็รู้จักและใช้ประโยชน์จาก Wikipedia (วิกิพีเดีย) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ประมวลความรู้แบบ encyclopedia มีทั้งเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และภาษาอื่นๆ รวม 316 ภาษา ความสำคัญมิได้อยู่เพียงแค่เป็นที่นิยมอย่างมากของชาวโลกเท่านั้น หากเป็นโครงการที่น่าอัศจรรย์มากเพราะใช้ได้สะดวก ค้นหาได้ทันใจ ไม่มีการโฆษณา ไม่ต้องจ้างคนเขียนเนื้อหาเป็นประโยชน์มหาศาลต่อสังคมโลกและประการสำคัญไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

Wikipedia มาจากสองคำคือ wiki ซึ่งในภาษาของชาวเกาะฮาไว หมายถึงรวดเร็ว กับ encyclopedia ซึ่งหมายถึงสารานุกรม รวมกันจึงหมายถึงสารานุกรมที่สามารถค้นได้รวดเร็วทันใจ (คำ wiki ถูกใช้ในแวดวงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ปี 2538 โดยมีซอฟต์แวร์ชื่อ Wiki Wiki Web) Wikipedia เปิดตัวเมื่อวันที่ 15 ม.ค.2544 โดยมีข้อความเพื่อสื่อพันธกิจว่า “สารานุกรมฟรีที่ใครๆ ก็เป็นบรรณาธิการได้”

Wikipedia มีอายุครบ 20 ปีเมื่อสองวันก่อน ปัจจุบันมีข้อเขียนเป็นภาษาอังกฤษซึ่งแปลเป็นภาษาต่างๆ รวม 55 ล้านชิ้น (เพียง 6.2 ล้านชิ้นก็เท่ากับหนังสือ 2,800 เล่ม) แต่ละชิ้นเขียนโดยอาสาสมัครจากทุกแห่งหนเช่นเดียวกับงานแก้ไขปรับปรุง (งานบรรณาธิการ) ที่ไม่มีค่าจ้างให้

ค่าใช้จ่ายในแต่ละปีมาจากเงินบริจาค ทั้งก้อนใหญ่และเล็กจากทุกมุมโลก อ่านไม่ผิดหรอกครับที่ทั้งหมดเป็นงานอาสาสมัครที่มูลนิธิเจ้าของไม่มุ่งแสวงหากำไร ความสำเร็จของ Wikipedia คือฝันที่เป็นจริงของ Jimmy Wales และ Larry Sanger สองหนุ่มชาวอเมริกันในวัย 50 ปี ไอเดียของการทำสารานุกรมบนอินเทอร์เน็ตนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ มีมาตั้งแต่ปี 2536 แต่ไม่ประสบความสำเร็จจนกระทั่งถึงการเปิดตัวของ Wikipedia โดยใช้แนวคิด “อาสาสมัคร” และเทคโนโลยีทันสมัยในปี 2544

Wikipedia ประสบความสำเร็จเป็นลำดับจนมียอดอ่านเฉลี่ยประมาณ 495 ล้านหน้าต่อเดือน (ทุกภาษา) ในเดือน พ.ย.2561 มีผู้อ่านรวมถึง 15,500 ล้านหน้า เฉพาะสหรัฐเฉลี่ยมีผู้ใช้ 117 ล้านคนต่อเดือน

วิธีการสร้างหน้าก็คือในตอนต้นปล่อยให้อาสาสมัครเขียนเรื่องใดที่ตนถนัดโดยเป็นเรื่องน่ารู้และมีความสำคัญ ความยาวเท่าใดก็ได้ เมื่อเป็นข้อเขียนสาธารณะก็ปล่อยให้คนทั่วโลกช่วยกันอ่านและแก้ไข เมื่อคนอื่นเห็นว่าที่แก้ไขนั้นยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ก็จะเสริมเพิ่มเติม กระบวนการเช่นนี้จะเกิดแล้วเกิดเล่าและผู้ดูแลเว็บจะคอยเป็นผู้กำหนดและดูแลอีกชั้น

ผู้ก่อตั้งทั้งสองได้วางโมเดลของการทำงานไว้ดังกล่าวและก็เป็นไปด้วยดีท่ามกลางความคาดคะเนของคนจำนวนมากว่าไม่น่าไปรอด ตลอดเวลาที่ผ่านมามันได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามูลนิธิที่ไม่แสวงหากำไรที่อาศัยความเป็นคนมีจิตใจดีและความร่วมมือของคนทั้งโลกเป็นสิ่งที่เป็นไปได้

ความสำเร็จที่น่าชื่นใจของโครงการนี้ แสดงให้เห็นถึงการมีจิตปรารถนาสร้างสิ่งงดงามให้แก่เพื่อนร่วมโลกโดยไม่มุ่งหวังเงินของอาสาสมัครในแต่ละสาขาที่ตนเองเชี่ยวชาญ บริการของ Wikipedia คือ public good (สินค้าสาธารณะ) ซึ่งเป็นประโยชน์มหาศาลแก่ผู้คนอย่างมิต้องสงสัย มันทำให้คนมีความรู้มากขึ้นได้ในแทบทุกเรื่องอย่างสะดวกโดยมีต้นทุนต่ำตามปกติรัฐมักเป็นผู้ให้บริการ หรือจัดให้มีบริการดังกล่าว (บริการห้องสมุด เรียนฟรี รักษาพยาบาลฟรี) โดยใช้รายได้จากภาษีอากร แต่ในกรณีของ Wikipedia นั้น บริการของสินค้าสาธารณะเช่นนี้เกิดขึ้นโดยมิได้อาศัยภาษีอากรจากภาครัฐหากใช้เงินบริจาคจากประชาชนทั่วโลกเป็นตัวขับเคลื่อน

สินค้าสาธารณะจากมูลนิธิเช่นนี้ช่วยลดภาระการเงินของภาครัฐและการพึ่งพิงกลไกรัฐไปเป็นอันมาก และไม่น่าเชื่อว่าภาครัฐจะทำได้ดีเท่า อย่างไรก็ดีปัญหาที่ Wikipedia ต้องเผชิญมาตลอดคือการไม่ได้รับความเชื่อถือว่าให้ข้อมูลที่แม่นยำ ในตอนแรกไม่อาจสู้ชื่อเสียงของสารานุกรมปกติ เช่น Britannica อันยิ่งใหญ่มานับร้อยๆ ปีได้เลยและถูกเหยียดหยามเสียด้วยซ้ำจนกระทั่งนิตยสาร Nature ในปี 2548 ได้ศึกษาเปรียบเทียบแหล่งข้อมูล Britannica กับ Wikipedia และพบว่าทั้งสองมีข้อผิดพลาดของข้อเขียนโดยเฉลี่ยเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกัน

Wikipedia เป็นตัวอย่างที่ดีของปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า prosumer ในปัจจุบัน กล่าวคือบุคคลเป็นได้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคในเวลาเดียวกัน (producer คืออาสาสมัครผู้เขียนและเป็นบรรณาธิการ พร้อมทั้งเป็นผู้บริโภคหรือ consumer ในเวลาเดียวกัน) อีกทั้งเป็นกิจกรรมสำคัญของ Sharing Economy หรือระบบเศรษฐกิจในแนวร่วมกัน ในที่นี้คือการแชร์ความรู้อย่างเปิดกว้าง ช่วยกันสร้างช่วยกันแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ซึ่งเป็นการประหยัดเวลาและทรัพยากรของโลกได้เป็นอันมาก (ลองจินตนาการโลกที่ไร้ Wikipedia ว่าจะมีโสหุ้ยคือเวลา ความไม่สะดวก ฯลฯ มากเพียงใดกว่าจะได้องค์ความรู้ในปริมาณที่เท่ากัน)