‘MOKA POT’ ในลมหายใจแห่งยุคสมัย

‘MOKA POT’ ในลมหายใจแห่งยุคสมัย

หม้อต้มกาแฟ “Moka Pot” ที่ความนิยมเริ่มเสื่อมคลาย แต่สถานการณ์ไวรัส “โควิด” ตัวร้าย กลายเป็นพลิกฟื้นให้ “หม้อต้มกาแฟ” ในตำนานนี้คืนชีพ

เหมือนบางสิ่งที่เคยหลงลืมกันไป แต่แล้วหวนกลับมาอยู่ในใจใหม่... Moka pot ไอคอนระดับแม่หลักของ Bialetti Industries ก็ไม่ต่างกัน เสมือนมีแรงดึงดูดคอกาแฟชาวอิตาเลี่ยนให้หวนกลับมาใช้กันอีกครั้ง

สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ที่ทำให้คนเข้าถึงร้านกาแฟได้ไม่ง่ายดังเคย เลยทำให้อุปกรณ์ชงกาแฟตามบ้านหรือ โฮมคาเฟ่ มียอดขายเพิ่มขึ้นตลอดปีค.ศ. 2020 ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ตามนิยามชงกาแฟได้เองที่บ้าน รสชาติไม่ต่างจากในร้านหรือตามคาเฟ่ ภาพที่ปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจนก็คือ ที่อิตาลี เมืองต้นแบบกาแฟโลก...

161076155798

สองอุปกรณ์พื้นฐานในการชงกาแฟดื่มที่บ้านแบบโฮมคาเฟ่ / ภาพ : Ashkan Forouzani on Unsplash

"หม้อต้มกาแฟ" ในตำนานอย่าง Moka pot กับเทคนิคการใช้แรงดันไอน้ำพุ่งผ่านกาแฟคั่วบด จากที่ความนิยมเคยลดลง ก็กลับมาได้รับความสนใจอย่างมีนัยสำคัญ

แม้ว่าอิตาลีไม่ใช่แหล่งปลูกกาแฟ ในดินแดนรูปรองเท้าบู๊ตแห่งนี้ ไม่มีเคยมีไร่กาแฟแม่แต่แห่งเดียว แต่หากพูดถึงแง่มุมในด้านการต่อยอดและสร้างสรรค์อะไรๆ ที่เกี่ยวข้องกับกาแฟ ไม่ว่าจะเป็นเมนูเครื่องดื่มและอุปกรณ์ชงกาแฟแล้ว อิตาลีครองความเป็นเลิศมาตลอดอย่างไม่ต้องประชันขันแข่งให้เสียเวลา

ไม่ใช่แค่เรื่องของธุรกิจ งาน หรืออาชีพ แต่เป็นความรัก หลงใหล คลั่งไคล้ ในรสชาติของเครื่องดื่มสุดโปรดที่ผ่านกาลเวลาเป็นร้อยๆ ปี จนการดื่มกาแฟกลายเป็น "สัญลักษณ์" ของชาติ หล่อหลอมรวมกระทั่งเป็น "วัฒนธรรม" กาแฟในแบบฉบับที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร

อิตาลีมีประชากรประมาณ 60 ล้านคน ในจำนวนนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ ดื่มกาแฟ แล้วเครื่องดื่มยอดนิยมก็คือ เอสเพรสโซ ...กาแฟหอมเข้มขลังที่เสิร์ฟในถ้วยไซส์เล็ก คนอิตาลีดื่มเอสเพรสโซเฉลี่ย 1.5 แก้วต่อวันๆ ไม่ว่าอยู่ในซอกมุมไหนของประเทศนี้ คุณจะไม่มีวันขาดแคลนเครื่องดื่มที่ได้รับฉายาว่า "มนต์ดำจากแดนสรวง" ไปได้เลย

ในอิตาลี มีบาร์กาแฟที่เราๆ ท่านๆ สั่งเอสเพรสโซมาดื่มกันได้ในราว 150,000 แห่ง เอสเพรสโซ 1 ช้อตที่เสิร์ฟมาในแก้วใบน้อย ตกราคาประมาณ 1 ยูโร (36 บาท) ใช้เครื่องชงเอสเพรสโซไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นเองในประเทศแทบทั้งนั้น แล้วแต่ละแบรนด์ก็มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ในบ้านเราก็มีนำเข้ามาจำหน่ายกันมากมายหลายยี่ห้อ

ตามบ้านเรือนเอง ก็มีหม้อต้มกาแฟประจำการอยู่แทบจะทุกบ้าน เป็นหม้อต้มในตำนานที่ผลิตกาแฟเอสเพรสโซได้ในอีกสไตล์หนึ่ง ใช่ครับ คือเจ้า "Moka pot"  นี่เองที่  70 เปอร์เซ็นต์ ของครัวเรือนอิตาลีต้องมีไว้ประจำบ้าน เหมือนกาแฟสามัญประจำบ้าน

161076145569

หม้อต้มกาแฟในตำนาน หลากหลายรุ่นและโมเดล / ภาพ : commons.wikimedia/Takeaway

หม้อต้ม Moka pot เกิดขึ้นมาแล้ว 88 ปี นับจากถูกคิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปีค.ศ.1933 ผลิตขายกันเป็นล่ำเป็นสันโดยบริษัท Bialetti Industries ภายใต้ชื่อ "Moka Express" ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วภาคพื้นยุโรป ก่อนแพร่หลายเข้าสู่ทวีปอเมริกา ออสเตรเลีย และเอเชีย ในเวลาต่อมา มียอดการผลิตเบ็ดเสร็จในราว 200 ล้านใบ เห็นตัวเลขแล้วก็ต้องร้องโอ้โห...ออกมาเลยทีเดียว ถือว่าไม่ธรรมดาจริงๆ ต้องฮิตสุดๆ เท่านั้นถึงจะทำตัวเลขนี้ออกมาได้

แต่ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย...ทุกสิ่งมีขึ้นมีลงเป็นสัจธรรมMoka pot” หม้อต้มกาแฟสุดคลาสสิครูปทรงแปดเหลี่ยม แฝงไปด้วยการออกแบบที่ใช้ทั้ง "ศาสตร์" และ "ศิลป์" หนึ่งในไอคอนงานดีไซน์ที่อยู่เหนือกาลเวลา ก็ค่อยๆ ได้รับความนิยมน้อยลงเรื่อยๆ นับจากศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา เนื่องจากการก้าวเข้ามาของอุปกรณ์ชงกาแฟอันหลากหลายรูปแบบที่แย่งชิงส่วนแบ่งตลาดไปจากหม้อต้มในตำนาน  กระทั่งวันหนึ่ง ธุรกิจอันมีชื่อเสียงของ Bialetti Industries ก็เริ่มประสบปัญหาทางการเงิน...

ต้นปีค.ศ 2016  เกิดข่าวช็อคขึ้นในวงการกาแฟโลก เมื่อ เรนาโต้ บิอาเล็ตติ คีย์แมนคนสำคัญของตระกูล ผู้ผลักดันให้ “Moka pot” มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ได้เสียชีวิตลงในวัย 93 ปี อัฐิของเขาถูกบรรจุไว้ใน “Moka pot” ใบใหญ่ ฝังไว้รวมกันในสุสานของครอบครัว นับเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญของตระกูลบิอาเล็ตติ และวงการกาแฟอิตาลี

เรนาโต้ ผู้ซึ่งได้รับสมญาว่า "มิสเตอร์กาแฟแห่งอิตาลี" เป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตลอดกาลของชาติ เป็นบุคคลที่สร้างโรงงานผลิตเครื่องชงกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมาในขณะนั้น พร้อมๆ กับคำขวัญทางการตลาดอันคมคาย "มี Moka pot ก็มีเอสเพรสโซดื่มที่บ้านเหมือนในคาเฟ่"

เคยเห็นกันใช่ไหมครับ มาสค็อต Bialetti  ซึ่งเป็นรูปผู้ชายไว้หนวดชูนิ้วชี้ เหมือนกำลังสั่งเอสเพรสโซ่มาดื่มอีกแก้ว ที่ติดหราอยู่บนสินค้าของ Bialetti เรียกขานกันว่า “l’omino con i baffi” หรือ ชายร่างเล็กผู้น่ารัก นั่นแหละ...เป็นภาพเวอร์ชั่นการ์ตูนถอดแบบจากเรนาโต้ ออกแบบโดย "เปาโล คัมปานี" นักวาดการ์ตูนชื่อดัง ในปี ค.ศ. 1953

161076136927

มาสค็อต Bialetti  เป็นภาพการ์ตูนถอดแบบจาก"เรนาโต้  บิอาเล็ตติ" / ภาพ : Rafael Leão on Unsplash

ประมาณปลายปีค.ศ 2018 ก็เกิดข่าวช็อคขึ้นอีกครั้งในวงการกาแฟโลก เมื่อมีรายงานข่าวว่า Bialetti Industries กำลังประสบปัญหา ล้มละลาย หลังขาดทุนในช่วงครึ่งแรกของปีนั้น เป็นเงินถึง 15.3 ล้านยูโร จนมีหนี้สินรวมกันเกือบ 70 ล้านยูโร ทำท่าว่าธุรกิจจะไม่ได้ไปต่อ  อันเป็นผลจากยอดขายตกต่ำลงทั้งในอิตาลีเองและในต่างประเทศ หลังจากผู้บริโภคส่วนใหญ่หันไปซื้อเครื่องชงกาแฟที่ชงง่ายและสะดวกสบายมากกว่าอย่าง "กาแฟแคปซูล"

ข่าวร้ายชิ้นนี้ ก่อให้เกิดคำถามขึ้นมากมายในหมู่คนรักชอบกาแฟ และบรรดาผู้ที่ชื่นชอบหม้อต้ม “Moka pot” ในทำนองว่า

... ทำไมแบรนด์ที่ขายอุปกรณ์ชงกาแฟได้เป็นล้านๆ ใบในอดีต จึงมาลงเอยเช่นนี้?

...ต่อจากนี้ไป จะไม่มีการผลิตหม้อต้มในตำนานอีกแล้วหรือ?

...หรือเพราะชาวโลกดื่มกาแฟกันน้อยลง?

...แล้วเราจะเลือกซื้อเครื่องชงแบบไหนกันดีล่ะหากว่า Bialetti  ล้มละลาย?

...กาแฟพ๊อดทำลายสิ่งแวดล้อม อย่าปล่อยให้ทำลาย Moka pot ได้อีก? (ซึ่งตอนนั้น แคปซูลกาแฟยังทำจากพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ไม่ได้ปรับมาเป็นแบบรียูสหรือรีฟิลอย่างเช่นในปัจจุบัน )

ระหว่างปีค.ศ. 2017 ยอดขาย Moka pot เฉพาะในอิตาลีตกลงไป 5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ยอดขายกาแฟแคปซูลพุ่งขึ้นถึง 16.8 เปอร์เซ็นต์ ว่ากันว่าความนิยมในกาแฟแคปซูลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากแคมเปญโฆษณาของ Nespresso ที่มี "จอร์จ คลูนีย์” พระเอกดาราฮอลลีวูดชื่อดัง เข้ามารับบทบาทแสดงนำ เกิดกลายเป็นกระแสที่ผู้คนพูดถึงกันมากในช่วงนั้น

...เพื่อต่อลมหายทางธุรกิจ  ผู้บริหารบริษัทได้เปิดการเจรจาขอกู้ยืมเงินตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ และยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาลล้มละลายอิตาลี มีข่าววงในเล็ดลอดออกมาว่า  Bialetti Industries ได้ขอกู้ยืมเงินจากกองทุนบริหารความเสี่ยงของสหรัฐอเมริกา ในวงเงิน 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เป็นที่เข้าใจว่าการเจรจาประสบความสำเร็จด้วยดี เพราะธุรกิจของ Bialetti Industries   ยังคงดำเนินต่อไปในปีค.ศ. 2019 และ 2020 พร้อมกับได้เปิดเกมรุกทางธุรกิจระลอกใหญ่ ทั้งออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง "ชุดเหยือกกาแฟดริปสีฟ้า" ซึ่งดูรูปลักษณ์แล้วก็รู้เลยว่าได้แบบมาจากหม้อต้มในตำนาน และก็ผลิตเมล็ดกาแฟคั่วแบบบรรจุถุงออกมาอีก 4 แบบ ในชื่อ "Perfetto Moka" เพื่อป้อนตลาดผู้ที่นิยมใช้ “Moka pot” เป็นการเฉพาะ ตามด้วยการแตกหน่อหม้อต้มออกมาอีกหลายรุ่นหลายแบบด้วยกัน

Bialetti Industries ได้ยิง "หมัดเด็ด" พุ่งเป้าไปยังกาแฟแคปซูล เป็นการตอบโต้อย่างชนิดเปิดหน้าชน นั่นก็คือ เดินหน้าโครงการรณรงค์ลดขยะพลาสติกกับองค์กรอนุรักษ์มหาสมุทรสากลที่ชื่อ "Oceana" ผ่านทางความร่วมมือในด้านต่างๆ และการให้เงินสนับสนุน เพื่อสร้างจิตสำนึกในการรักษาท้องทะเลและสิ่งแวดล้อม หวังกระตุ้นให้ผู้บริโภคลดการใช้แคปซูลกาแฟลงนั่นเอง

จะว่าไปในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นปีที่โลกเผชิญกับการระบาดครั้งใหญ่ของไวรัสโควิด-19 หลายๆ ประเทศรวมทั้งอิตาลี มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์และเว้นระยะห่างทางสังคม ร้านกาแฟก็เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากหลายแห่งต้องหยุดการให้บริการลงชั่วคราว บ้างก็ปิดการไปเลย ทำให้ยอดขายอุปกรณ์ชงกาแฟแบบใช้ในบ้านเพิ่มขึ้นทั่วโลก รวมทั้งในอิตาลีด้วย...แน่นอนว่า “หม้อต้มกาแฟ” อย่าง “Moka pot” ก็พลอยได้รับอานิสงส์เช่นกัน

161076160761

การระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อร้านกาแฟในวงกว้าง / ภาพ : Dan Burton on Unsplash

เว็บไซต์ที่นำเสนอข่าวสารวงการกาแฟในแทบทุกแง่มุมอย่าง Sprudge.com ให้ข้อมูลว่า E&B Lab แบรนด์กาแฟสายคราฟท์และหนึ่งในผู้ผลิตหม้อต้มสไตล์ “Moka pot” อีกแห่ง มียอดขาย Moka pot ซึ่งเป็นสินค้าที่ร้านผลิตขึ้นเอง เพิ่มขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเดือนม.ค.ถึงต.ค. ของปีค.ศ. 2020 เทียบกับตลอดทั้งปี 2019

แม้ Bialetti จะยังไม่ได้เปิดเผยตัวเลขยอดขาย “Moka pot” ออกมาว่าเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด แต่ก็ส่งสัญญาณบอกกล่าวในเรื่องนี้ชัดเจนเมื่อบอกกับ Sprudge.com ว่า การชงกาแฟดื่มเองที่บ้านมีแนวโน้มจะอยู่ในระดับสูงต่อไปตราบเท่าที่คนอิตาลียังต้องทำงานจากบ้าน และมีการเว้นระยะห่างในสังคม เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ...ด้วยอาจจะเป็นแนวโน้มที่ส่งผลบวกต่อธุรกิจของบริษัท ในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา จึงปรากฎชุดกาแฟตัวใหม่ "Perfetto Moka" ออกมารองรับตลาดนั่นเอง

กว่าที่สถานการณ์ของ Bialetti Industries และ Moka pot จะเดินทางมาถึงวันนี้ ขอย้อนเวลาหาอดีตกันอีกสักนิดครับ...ผู้ที่คิดค้น “Moka pot” ใบแรกของโลก เป็นชาวแคว้นลอมบาร์เดีย ชื่อ "อัลฟองโซ บิอาเล็ตติ" วิศวกรมากประสบการณ์ผู้นี้ ทำงานอยู่ในโรงงานอะลูมิเนียมของฝรั่งเศสมานานนับสิบปี ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านเกิด และก่อตั้งบริษัท Alfonso Bialetti & C. Fonderia ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1919

บิอาเล็ตติ ตั้งชื่อ "Moka pot" ตามชื่อ "Mocha" เมืองท่าส่งออกเมล็ดกาแฟอาราบิก้าที่สำคัญในอดีตของเยเมน ว่ากันว่า บิอาเล็ตติ ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องซักผ้าที่ภรรยาใช้งานอยู่  จึงดัดแปลงกลไกลการทำงานเครื่องซักผ้า ไปประยุกต์ใช้เป็นหม้อต้มกาแฟ แล้วนำแบบไปให้ ลุยจิ ดิ ปอนติ (Luigi De Ponti) ช่วยพัฒนาต่อยอด อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อมูลอีกด้านย้อนแย้งว่า บิอาเล็ตติ ไม่ได้ประดิษฐ์ Moka pot แต่เป็นผู้ซื้อสิทธิบัตรการผลิตมาจาก ดิ ปอนติ ต่างหาก

161076167025

ภาพอันคุ้นเคยของผู้ใช้งาน Moka pot / ภาพ : Thanos Amoutzias on Unsplash

มีหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า แรกเริ่มนั้นเหตุไฉน “หม้อต้มกาแฟ” ตัวแรกในตระกูล “Moka pot” จึงทำขึ้นมาจาก "อะลูมิเนียม" ทำไมไม่เป็นสเตนเลส เหตุผลก็คือ มุสโสลีนี ผู้นำในยุคสมัยนั้น ผลักดันนโยบาย "ชาตินิยม" ประกาศห้ามนำเข้า "สเตนเลส" อย่างเด็ดขาด เพื่อให้คนในชาติหันมาใช้อะลูมิเนียมซึ่งผลิตเองได้ในประเทศ

แต่กว่าจะลงหลักปักฐานทางธุรกิจได้อย่างมั่นคง ก็ต้องรอจนลูกชายของอัลฟองโซที่ชื่อ "เรนาโต้" ขึ้นมาบริหารบริษัทในช่วงทศวรรษ 1950 ส่งผลให้ความนิยมในตัว Moka pot เพิ่มขึ้นทั่วโลกอย่างรวดเร็ว แบรนด์ Bialetti ก็เติบโตอย่างแข็งแรง

ไม่ทราบด้วยเหตุผลกลใด ในปีค.ศ. 1986 เรนาโต้ ได้ขายธุรกิจของตระกูลให้กับ "Faema group" ผู้ผลิตเครื่องชงเอสเพรสโซไฟฟ้า ซึ่งต่อมา ในปีค.ศ. 1993 ก็ได้ขายธุรกิจต่อไปให้  Rondine Italia แบรนด์อุปกรณ์เครื่องครัว จนกระทั่งอีก 5 ปีต่อมา Bialetti และ Rondine จึงรวมกิจการเข้าด้วยกันอย่างเป็นทางการ ก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักรธุรกิจยักษ์ใหญ่ซึ่งเครื่องหมายการค้าเป็นที่รู้จักกันดีในนาม "Bialetti Industries" ที่ยังผลิต Moka pot ต้นฉบับออกจำหน่าย แต่เพิ่มขนาดของหม้อต้ม ตามมาด้วยการเปิดตัวหม้อต้มรุ่นใหม่ที่ผลิตครีม่ากาแฟได้อย่างรุ่น "Brikka"

หม้อต้มกาแฟแบรนด์ Bialetti นั้นประทับตรา "Made in Italy" อย่างภาคภูมิใจ เพราะเป็นสินค้าที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ใช้งานได้ทนทาน ราคาไม่แพง ถึงขนาดกลายเป็นหนึ่งใน "สัญลักษณ์แห่งการออกแบบ" ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์อุตสาหกรรมศิลปะและการออกแบบสมัยใหม่ชั้นนำของโลกหลายแห่ง ว่ากันว่า แบบพิมพ์เขียวของรุ่นต้นแบบนั้น จัดแสดงเอาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ London Design Museum ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

จากยุครุ่งเรืองเข้าสู่จุดตกอับ แต่มีล้มย่อมมีลุกขึ้นใหม่ ถือเป็นวัฏจักรธุรกิจที่ยากหลีกเลี่ยงได้... “หม้อต้มกาแฟ” สุดคลาสสิคที่เคยครองใจคอกาแฟตามบ้านมาอย่างยาวนาน ดูเหมือนจะกลับมาได้อีกครั้ง แม้จะเป็นด้วยอานิสงส์จากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 แต่ก็ถือว่าเป็นการกลับมาเพื่อสร้างโอกาสให้ไปได้ต่อ

สำหรับอนาคตยาวๆ ความนิยมใน “Moka pot” จะยั่งยืนหรือจางหายไปอีกครั้ง  ลมหายใจของหม้อต้มในตำนานที่ส่งกลิ่นกาแฟหอมจรุง จะกลายมาเป็นอีกทางเลือกการชงกาแฟดื่มเองแบบโฮมคาเฟ่หรือไม่ เวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้!