‘ดาวโจนส์’ปิดร่วง 177 จุดผิดหวังยอดค้าปลีกซบเซา

‘ดาวโจนส์’ปิดร่วง 177 จุดผิดหวังยอดค้าปลีกซบเซา

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันศุกร์ (15ม.ค.)ปรับตัวร่วงลง 177 จุด ขณะที่นักลงทุนผิดหวังยอดค้าปลีกเดือนธ.ค.ที่ซบเซา แม้ธนาคารชั้นนำ3แห่งจะมีรายได้และผลกำไรสูงกว่าคาด

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ร่วงลง 177.26 จุด หรือ 0.57% ปิดที่ 30,814.26 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วง 27.29 จุด หรือ 0.72% ปิดที่ 3,768.25 จุดและดัชนีแนสแด็ก ร่วง 114.14 จุดหรือ 0.87% ปิดที่ 12,998.50 จุด

เมื่อพิจารณาทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงมากกว่า 1%

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกลดลง 0.7% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 3 หลังจากลดลง 1.4% ในเดือนพ.ย.ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกจะทรงตัวในเดือนธ.ค.

การร่วงลงของยอดค้าปลีกได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการที่ภาคครัวเรือนมีรายได้ลดลง เนื่องจากชาวอเมริกันจำนวนมากประสบภาวะตกงาน

ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร ดิ่งลง 1.9% ในเดือนธ.ค. หลังจากลดลง 1.1% ในเดือนพ.ย.

ขณะที่การประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่ได้ช่วยหนุนดัชนีในวันนี้ เนื่องจากตลาดได้ปรับตัวขึ้นรับข่าวดังกล่าวก่อนหน้านี้แล้ว

นายไบเดนได้ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะช่วยเหลือภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจให้สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นายไบเดนกล่าวว่า การผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรกหลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค.

คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติในสภาผู้แทนราษฎร แต่นายไบเดนอาจต้องใช้ความพยายามในการผลักดันให้ผ่านการรับรองในวุฒิสภา เนื่องจากขณะนี้พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันมีคะแนนเสียงเท่ากันที่ 50-50 และการผ่านมาตรการดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนอย่างต่ำ 60 เสียง ทำให้นายไบเดนจำเป็นต้องพึ่งพาสมาชิกพรรครีพับลิกันอย่างน้อย 10 เสียงในการผ่านมาตรการดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ธนาคารชั้นนำของสหรัฐเผยกำไรและรายได้ไตรมาส4ปี2563สูงกว่าคาด เริ่มจากเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 4/2563 โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของธุรกรรมเทรดดิ้งและวาณิชธนกิจ โดยมีกำไร 3.79 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.62 ดอลลาร์/หุ้น

นอกจากนี้ ธนาคารมีรายได้ 3.016 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.870 หมื่นล้านดอลลาร์

ส่วนซิตี้กรุ๊ป ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรในไตรมาส 4/2563 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยมีกำไรที่ระดับ 2.08 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.34 ดอลลาร์/หุ้น

แต่ธนาคารมีรายได้ 1.65 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.67 หมื่นล้านดอลลาร์


ด้านเวลส์ ฟาร์โก ระบุว่า ธนาคารมีกำไร 64 เซนต์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 60 เซนต์/หุ้น แต่มีรายได้ 1.793 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.813 หมื่นล้านดอลลาร์