‘แผลใหญ่เพื่อไทย’ลามฝ่ายค้าน วัดใจ‘ศึกซักฟอก’รอด-ร่วง?

‘แผลใหญ่เพื่อไทย’ลามฝ่ายค้าน  วัดใจ‘ศึกซักฟอก’รอด-ร่วง?

แรงกระเพื่อมในพรรค บวกกับชนักติดหลังด้วยครหา "ล้มซักฟอก" นอกเหนือจะสร้างความหวาดระแวงให้พรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกัน ยังถือเป็นบทพิสูจน์ของพรรคเพื่อไทยในศึกซักฟอกครั้งนี้อีกด้วย

ยังไม่ทันได้ “ขยี้แผลใหญ่” รัฐบาลและ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ในประเด็นความล้มเหลวในการจัดการกับนายทุนบ่อนการพนันและกระบวนการลักลอบขนแรงงานเข้าเมืองซึ่งโยงคนมีสี จนเกิดเป็น“ซูเปอร์สเปรดเดอร์” ลูกใหม่ของโรคโควิด-19 ผ่านศึก“อภิปรายไม่ไว้วางใจ” 

ดูเหมือนเวลานี้ว่า “พรรคเพื่อไทย”  กำลังเผชิญกับ “แผลใหญ่” ที่กำลังลุกลามเสียเอง ทั้งจากปัญหาความไม่ลงรอยภายในพรรคทั้งกรณีการลาออกของ “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตประธานยุทธศาสตร์ พรรครวมถึงส.ส.ในคาถา

ปัญหาการ“ชิงพื้นพื้นที่” ในศึกเลือกตั้งนายกอบจ.เมื่อวันที่20ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะพื้นที่บ้านเกิดจ.เชียงใหม่ของ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร ที่เปิดศึกกับกัประธานนปช.“จตุพร พรหมพันธุ์” จนสะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงดูไบ

กระทั่งล่าสุดคือกรณีที่ “12ส.ส.” ถอนชื่อจากคำร้องวินิจฉัยคุณสมบัติการเป็นส.ส. จนทำให้ “สิระ เจนจาคะ” ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ ผู้ถูกยื่นตรวจสอบรอดไปได้อย่างหวุดหวิดหลังศาลรัฐธรรมนูญตีตกคำร้องดังกล่าว เนื่องจากมีส.ส.เข้าชื่อไม่ถึง1ใน10 ตามที่กฎหมายกำหนด

“แผลใหญ่” ที่เกิดขึ้น นอกจากจะเป็น “ศึกภายใน” ที่สะท้อนให้เห็นถึง “แรงกระเพื่อม” และ “เอกภาพ”ภายในพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ที่เวลานี้อยู่ในอาการน่าเป็นห่วงแล้ว

ยังลามไปถึงความเป็น “เอกภาพ” ที่อาจนำมาซึ่งความหวาดระแวงกันเองระหว่าง “พรรคฝ่ายค้าน” ด้วยกัน เพราะแม้แต่แกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่าง “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะต้นเรื่องยื่นคำร้องวินินิจฉัยสถานะส.ส.ของ “สิระ”เอง ยังคลางแคลลงใจในกรณีส.ส.แห่ถอนชื่อ จนต้องมีการล่าชื่อใหม่อีกรอบ

ยังไม่นับรวม “ศึกซักฟอก” ที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงเดือนก.พ.นี้ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์สำคัญของพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้านในการทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล 

เพราะต้องไม่ลืมว่า พรรคเองก็มีชนักติดหลัง มาจากศึกซักฟอกรอบที่แล้ว

ทั้งปัญหาการจัดสรรเวลาอภิปราย ,การรันคิวของส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกันที่มีการสลับไปมาจากช่วงไพร์มไทม์” ไปช่วงดึก รวมถึงการอภิปรายที่ยืดเยื้อเกินเวลาของทางฝั่งเพื่อไทย

ท่ามกลางกระแสข่าวลือเรื่องคุณขอมาจนทำให้พี่น้อง2ป.คือบิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย รอดศึกซักฟอกครั้งนั้นไปได้

มิหนำซำ้"บิ๊กป้อม" ยังได้รับคะแนนไว้วางใจสูงสุดทั้งที่ไม่ถูกอภิปราย

ตามมาด้วยเสียงครหาในเรื่อง "มวยล้ม" ลามเป็น“ร้อยร้าวใหญ่”ระหว่าง“เพื่อไทย” และ“อนาคตใหม่” ในขณะนั้น ที่แม้แต่ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” อดีตเลขาธิการพรรค ยังออกมาแถลงอย่างหมดเปลือกเมื่อวันที่28ก.พ.2563

ในทำนองว่า มีความพยายามมาตั้งแต่ต้นที่จะไม่ให้อภิปรายพล.อ.ประวิตร ซ้ำยังมีข้อเสนออีกว่า "ให้อภิปรายพล.อ.ประยุทธ์คนเดียวก็พอ คนอื่นไม่ต้อง"

ร้อยร้าวครั้งนั้นแม้จะจบลงที่การพูดคุยทำความเข้าใจ พร้อมขอโทษซึ่งกันและกันระหว่างแกนนำทั้ง2พรรค

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “แผลเป็น” ที่เกิดขึ้นระหว่าง2พรรคทิ้งไว้ซึ่งความหวาดระแวงและมีผลมาถึง “พรรคก้าวไกล” ซึ่งแปลสภาพมาจากพรรคอนาคตใหม่และมีส.ส.ซึ่งเป็นตัวละครที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นอยู่ไม่มากก็น้อย

เป็นเช่นนี้จึงต้องจับตาไปที่ “ศึกซักฟอก” ที่กำลังจะมีขึ้นว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถแก้มือและลบคำครหาเหล่านั้นได้สำเร็จหรือไม่?

ดังนั้นแทนที่จะไป “ขยี้แผลใหญ่”รัฐบาล กลับกลายเป็นว่าเวลานี้พรรคเพื่อไทยมี“แผลใหญ่”ที่อาจโดนขยี้เสียเอง และเมื่อต่างฝ่ายต่างก็มี “แผลใหญ่” คงต้องไปลุ้นกันว่า ที่สุดแล้วฝ่ายใดจะชิงไหวชิงพริบเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบได้มากกว่ากัน?