เกมชนะ 'ผาแดง' ธุรกิจต้องต่าง !

เกมชนะ 'ผาแดง' ธุรกิจต้องต่าง !

ใช้เวลา 4 เดือนจบดีล ! เทคโอเวอร์ 'โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์-คาเพลลา' ของ 'คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์' ด้าน 'ทอมมี่ เตชะอุบล' นายใหญ่ 'ผาแดงอินดัสทรี' ฉายภาพสตาร์ดวงใหม่ อยากชนะธุรกิจต้องมี 'จุดต่าง' หวังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฟื้น ดันผลประกอบการปีเติบโต

แม้ 'ตระกูลเตชะอุบล' จะเดินหน้าปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ยกแผงเมื่อปี 2557 ด้วยการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งคอมพานี (Holding Company) ภายใต้ชื่อ บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ CGH เพื่อลงทุนบริษัทในเครืออย่าง บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป หรือ CGS และ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี หรือ MFC สัดส่วนการลงทุน 99.30% และ 24.96% ตามลำดับ 

ขณะเดียวกันยังลงทุนในกิจการเหมืองแร่และโรงถลุงแร่สังกะสี สำหรับผลิตโลหะสังกะสีแท่งบริสุทธิ์และโลหะสังกะสีผสม บมจ.ผาแดงอินดัสทรี หรือ PDI และบริษัทร่วมทุน บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ หรือ CGD ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สัดส่วนลงทุน 25% และ 9.25% ตามลำดับ 

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา 'เสี่ยไมค์-สดาวุธ เตชะอุบล' เจ้าของตัวจริงสั่ง 'ทอมมี่ เตชะอุบล' ลูกชายคนเล็ก ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 'คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์' เคลื่อนตัวลงทุนกิจการเพิ่มเติมใน PDI หลังต้องเผชิญหน้ากับภาวะแร่สังกะสีหมดและไม่มีเหมืองแร่อื่นในเมืองไทย 

ใน 'ธุรกิจสีเขียว' ไล่มาตั้งแต่ 1.ธุรกิจรีไซเคิลโลหะที่อยู่ในของเสียอุตสาหกรรม 2.ธุรกิจให้บริการด้านการจัดการของเสียอุตสาหกรรม และ 3.ธุรกิจพลังงานทดแทน แต่ที่ผ่านมากว่า 4 ปี ธุรกิจที่ดำเนินธุรกิจได้จริงคือ พลังงานทดแทน โดยแบ่งเป็นโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มในประเทศไทยกำลังการผลิตรวม 36.4 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มอีก 13 เมกะวัตต์ในประเทศญี่ปุ่นอีก

ทว่าเมื่อต้นปี 2563 ตระกูลเตชะอุบลมองว่าธุรกิจพลังงานทดแทนประเภท พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) โอกาสเติบโต 'ก้าวกระโดด' เป็นไปได้ยาก ! เนื่องจาก PDI เข้ามาในธุรกิจพลังงานทดแทนหลังคนอื่นๆ แล้ว ฉะนั้นผลตอบแทน (รีเทิร์น) ไม่สูงเฉกเช่นช่วงแรก และหากต้องการเติบโตก็ต้องออกไปนอกบ้าน เพราะเมืองไทยไม่มีใบอนุญาตออกมา

ดังนั้นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ PDI ที่ดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทน หากยังยึดติดอยู่กับการดำเนินธุรกิจรูปแบบเดิม โอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนก็ยากขึ้น จึงตัดสินใจปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่มุ่งสู่ธุรกิจที่ถนัดนั่นคือ ธุรกิจโรงแรม  

161009099321

ทอมมี่ เตชะอุบล

4 เดือนปิดดีล ! เจรจาขอ 'ซื้อกิจการ' (เทคโอเวอร์) โรงแรม 2 แห่งคือ 'โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ' มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท จาบมจ. คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CGD โดยเบื้องต้นจะถือหุ้น 51% มูลค่ารวม 2,805 ล้านบาท ส่วนอีก 49%จะได้รับสิทธิซื้อภายใน 12 เดือน ในมูลค่าราว 2,695 ล้านบาท

ซื้อกิจการคนใกล้ตัวยากยิ่งกว่าซื้อของคนอื่น ! วลีเด็ดของ 'ทอมมี่ เตชะอุบล' กรรมการผู้จัดการ บมจ.ผาแดงอินดัสทรี หรือ PDI เล่าให้ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ฟัง การขอซื้อหุ้นธุรกิจในครอบครัวตัวเอง 'ยากยิ่งกว่า' เข้าเทคโอเวอร์ธุรกิจของคนที่ไม่รู้จัก ! 'ขอซื้อหุ้นโรงแรมจาก CGD นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยากกว่าไปซื้อหุ้นของคนอื่นอีก...' ทอมมี่ย้ำให้ฟังเช่นนั้น 

จากธุรกิจพลังงานทดแทนประเภท พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) สู่ ธุรกิจโรงแรม ! ทันที  

สำหรับธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่ศึกษาและเข้าประมูลมาโดยตลอดโดยเฉพาะโรงแรมในต่างประเทศ เนื่องจากปีก่อนค่าเงินบาทแข็งค่า และธุรกิจโรงแรมในไทยชะลอตัว สะท้อนผ่านเมื่อปีก่อนบริษัทมีการเข้าประมูลโรงแรมในประเทศอังกฤษ 1 แห่ง ผลปรากฏว่าบริษัทแพ้ราคาประมูลรอบสุดท้าย แต่นั่นถือเป็นสิ่งที่ดีที่ PDI ปรับเปลี่ยนตัวเองได้อย่างรวดเร็ว 

ทว่าปี 2563 ทั่วโลกเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบอย่างหนัก แต่บริษัทกลับมองเป็นโอกาสและจังหวะที่ดีในการเข้าไปศึกษาตลาดโรงแรมในเมืองไทยอย่างจริงจัง ซึ่งที่ผ่านมามีการเข้าประมูล 2-3 รายเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ แต่พบว่าผู้ขายไม่มีใครยอมขายโรงแรมในราคาที่เหมาะสม (ราคาที่ลดลงจากโควิด) ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม

แม้ธุรกิจจะได้รับผลกระทบหนักแต่ก็ยังได้นโยบายช่วยเหลือของรัฐมาเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นไปได้ 

161009104266

ดังนั้น ที่ผ่านมาจะไม่เห็นโรงแรมขนาดใหญ่เปลี่ยนมือ จึงทำให้คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) PDI เกิดแนวคิดขอซื้อกิจการโรงแรมของ บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CGD ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์-โรงแรม ซึ่งบอร์ด PDI ได้อนุมัติให้เข้าซื้อกิจการ 'โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ' ซึ่งมีมูลค่าสุทธิกิจการรวม 10,000 ล้านบาท จาก CGD ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่ดีระดับโลก

ด้วย 'จุดเด่น' ที่ 'แตกต่าง' จากผู้ประกอบการโรงแรมย่านนั้น พร้อมๆ กับขายธุรกิจโรงไฟฟ้าออกทั้งหมดไป คาดว่าบริษัทจะขายสินทรัพย์ทั้งหมดและรับรู้รายได้เข้ามาในไตรมาส 1 ปี 2564 

นอกจากนี้ บริษัทซื้อที่ดินย่านสาทร จำนวน 1 ไร่ ซึ่งลงทุนสร้างโรงแรม จำนวน 209 ห้อง มูลค่า 1,500 ล้านบาท คาดจะเริ่มก่อสร้างไตรมาส 1 ปี 2564 และเปิดเชิงพาณิชย์ปี 2567 โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างขอประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) 

นั้นหมายความว่า PDI จะเปลี่ยนโฉมธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์มาสู่ ธุรกิจท่องเที่ยวโรงแรมทันที !! ขณะที่ CGD จะลดภาระหนี้ก้อนโต และมุ่งสู่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียว เป็นการปิดดีลซื้อกิจการที่ win…win ทั้งคู่ 

เขา บอกต่อว่า แผนธุรกิจปี 2564 มุ่งเน้นธุรกิจโรงแรม แม้ว่าอาจจะต้องรอการฟื้นตัวของท่องเที่ยวแต่เชื่อประเทศไทยท่องเที่ยวและโรงแรมถือว่าเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมแข็งแกร่ง ฉะนั้น หากกระบวนการซื้อหุ้นเสร็จเรียบร้อย บริษัทออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 301.33 ล้านหุ้น แบ่งขาย 2 แบบ แบบแรกขาย RO จำนวน 226 ล้านหุ้น และที่เหลือจำนวน 75 ล้านหุ้น รองรับการออกวอร์แรนต์ (PDI-W2)

อย่างไรก็ตาม หากได้เงินระดมทุนตามเป้าหมายบริษัทจะมีเงินทุนไปซื้อกิจการโรงแรมเข้ามาเพิ่ม โดยตั้งเป้าซื้อกิจการโรงแรม 2 ปี จำนวน 1 แห่ง ซึ่งคาดว่าในปี 5 ปีข้างหน้า (2564-2568) บริษัทจะมีกระแสเงินสดจากธุรกิจโรงแรม 3 แห่ง (โฟร์ซีซั่นส์ , คาเพลลา , โรงแรมใหม่สาทร) ในระดับ 'พันล้านบาท' ภายใต้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จะหายไปในปี 2565 และในปี 2566 เป็นต้นไปรายได้ธุรกิจโรงแรมจะเติบโต 'หลายเท่าตัว' 

รวมทั้งบริษัทไม่ปิดกั้นตัวเองในการซื้อกิจการโรงแรมเพิ่ม ซึ่งมีโอกาสทั้งในและต่างประเทศ โดยแผนธุรกิจศึกษาตั้งกองรีทเพื่อขายโรงแรมเข้ากองรีทแล้วนำเงินมาซื้อธุรกิจโรงแรมต่อ ขณะที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ เป็นพอร์ต Recurring Income หรือรายได้ประจำของบริษัท 

161009110213

แต่เบื้องต้นบริษัทขยายธุรกิจด้วยเงินจากการขายสินทรัพย์และเงินเพิ่มทุนก่อน โดยบริษัทขายโซลาร์ฟาร์ม 7 แห่ง รวมกำลังการผลิต 36.4 เมกะวัตต์ ให้กับบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ หรือ BAFS มูลค่า 1,705 ล้านบาท คาดขายโซลาร์ญี่ปุ่น 1,000 ล้านบาท ที่ดิน 2 แปลง มูลค่า 1,000 ล้านบาท หากรวมกับเงินเพิ่มทุนน่าจะมีกระแสเงินสดในมือ 6,000 ล้านบาท และคาดหลังชำระเงินซื้อ 2 โรงแรมแล้วเหลือเงินราว 3,000 ล้านบาท โดยคาดขายสินทรัพย์ได้ทั้งหมดในไตรมาส 1/2564 

โดยบริษัทคาดว่าปีหน้าผลประกอบการขาดทุนสุทธิ แต่จะพลิกเป็นกำไรในปี 2565 จากผลประกอบการทั้ง 2 โรงแรม เนื่องจากปัจจุบันโรงแรมเพิ่มเปิดดำเนินการเมื่อไตรมาส 4 ที่ผ่านมา แต่ได้รับความนิยมเกินกว่าที่ประเมินไว้โดยเฉพาะในส่วนของห้องอาหารและห้องบอลรูม ขณะที่ห้องพักยังมีอัตราเข้าพักในระดับต่ำ โดยโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันมีอัตราเข้าพักแค่ 20% 

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงแรมถือเป็นโอกาสใหม่ที่จะทำให้ PDI เติบโตไดในอนาคต และเชื่อว่าผลตอบแทนธุรกิจโรงแรมจะมากกว่าธุรกิจโซลาร์หลายเท่าตัว ซึ่งกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้น PDI น่าจะเห็นประเด็นดังกล่าวและยังคงถือหุ้นต่อไป แต่อาจจะไม่ใส่เงินเพิ่มทุนเข้ามา