ปมรัฐบาลแก้คำสั่ง กทม. พิษโควิด VS เศรษฐกิจ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การตัดสินใจที่ไม่เป็นเอกภาพระหว่างรัฐบาล-กทม. ส่งผลถึงความไม่มั่นใจของประชาชนว่า รอบสองนี้ ศบค.จะเอาอยู่
จากคำสั่งที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ฉบับ 16 ออกมาล่าสุด เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2564 หนึ่งในนั้นสรุปมาตรการควบคุมเวลาให้บริการรับประทานในร้านตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น. จากเดิมที่ ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษก กทม.ออกมาแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อ มีมติขีดเส้นร้านอาหารทุกประเภทต้องให้บริการนับประทานที่ร้านถึง 19.00 น.เท่านั้น
แต่แล้วคำสั่งที่มาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งตรงถึง กทม.ให้ขยายเวลากำหนดมาตรการนี้ไปถึงเวลา 21.00 น. เป็นที่มาของเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ว่าเหตุใดทั้ง 2 หน่วยงานรัฐไม่สื่อสารระหว่างกันก่อนประกาศมาตรการสำคัญออกมา
โดยเฉพาะผลกระทบจากการ “เปลี่ยน” คำสั่งใหม่ กระทบไปถึงผู้ประกอบการร้านอาหารต่างๆ ต้องปรับเวลา ปรับจำนวนพนักงานและปรับการสั่งวัตถุดิบเพื่อให้บริการลูกค้า ซึ่งหมายถึงผลกระทบไปถึง “ต้นทุน” ของร้าน และอาชีพพนักงานประจำ-รายวันที่ต้อง“นับชั่วโมงงาน” เพื่อคำนวณออกมาเป็นรายได้ในแต่ละวัน
ก่อนหน้านี้ 23 ธ.ค.2563 “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ออกมาเปิดเผยผลกระทบจากการระบาดรอบใหม่นี้ ไม่ใช่แค่ภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย ที่อาจได้รับความสูญเสียจากการระบาดรอบใหม่ราว 45,000 ล้านบาทในกรอบเวลา 1 เดือนอย่างเดียว แต่อาจสร้างผลกระทบด้านอื่นๆ ที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้อย่างชัดเจน ที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการ ที่ค้าขายสินค้าอื่นๆในตลาดไปด้วย
ยิ่งมาตรการที่เปลี่ยนไปมานอกเหนือจากมีผลถึงผู้บริโภคแล้ว แต่ทุกมาตรการจากรัฐบาล และกทม.มีกระทบไปถึงภาคธุรกิจร้านอาหารทั่วกรุงเทพฯ อีกครั้ง เพราะหากยังจำกันได้ในสถานการณ์ระบาดโควิดรอบแรกในต้นปี 2563 ในช่วงการออกมาตรการ “ยาแรง” เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด จากกรณีที่ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น เคยออกมาเปิดเผยถึงกระแสข่าวที่ถูกแชร์เป็นจำนวนมากว่า กทม.จะมีการปิดห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในวันที่ 22 มี.ค.2563 ซึ่งเป็นวันเดียวที่คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อ กทม.ประชุมเพื่อหาข้อสรุปในมาตรการนี้
ประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดความสับสนอยู่ที่ “ห้วงเวลา” ของข่าวที่ออกมา เพราะก่อนที่คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อ กทม.จะมีมติเป็นทางการว่าจะมีการ “ปิดห้าง” หรือไม่ แต่เป็นช่วงเดียวกับที่โฆษกรัฐบาลออกมาให้สัมภาษณ์ประเด็นนี้ในเวลา 12.12 น.ของวันที่21 มี.ค.2563 ว่า อำนาจการสั่งปิดห้างอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด กำลังมีการหารือมาตรการต่างๆ แต่ขอให้รอแถลงอย่างเป็นทางการขอให้ประชาชนรอฟังประกาศหรือความคืบหน้าจากราชการ และหยุดการแพร่ข่าวที่ไม่มีที่มาที่ไป ที่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ นอกจากความแตกตื่นที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
แต่แล้วมีการตีความจากข้อมูลที่ถูกส่งต่อในสังคมออนไลน์ ไปถึงประเด็นที่โฆษกรัฐบาลออกมาอธิบายขณะนั้นว่า กระแสที่ออกมาไม่ใช่ข่าวจริง จนกระทั่งผ่านมาไม่กี่นาทีที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ออกมาแถลงข่าวในเวลา 12.23 น. หลังเสร็จสิ้นประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อ กทม.มีคำสั่งให้ปิด 26 จุดเสี่ยงทั่วกรุง รวมถึงห้างสรรพสินค้า ยกเว้นโซนซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยาหรือสินค้าเบ็ดเตล็ดที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่ทำให้ประชาชนสับสนในข้อมูลว่า สุดท้ายควรเชื่อควรมูลจากแหล่งใดมากที่สุด
เช่นเดียวกับสถานการณ์การให้ข่าวระหว่าง “กทม.-รัฐบาล” เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2564 ถูกเสียงวิจารณ์จากคนในสังคมอีกครั้งว่า เหตุใดสองหน่วยงานรัฐถึงไม่สื่อสารระหว่างกันก่อนประกาศคำสั่ง เพราะสิ่งที่โฆษก กทม.ได้แถลงในเวลา 12.10 น.ว่าที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อ กทม.ออกมาตรการเพิ่มเติม เพื่อกำหนดแนวทางสำหรับร้านอาหารทุกประเภทต้องให้บริการรับประทานอาการในร้านยุติแค่เวลา 19.00-06.00 น.เท่านั้น
ทำให้ตลอดช่วงบ่ายหลายภาคธุรกิจอาหารทั้งในห้างและสถานที่ต่างๆ ออกมาโพสต์แจ้งลูกค้าขอปรับเวลาให้บริการและลดการให้บริการอาหารบางประเภท เพื่อปฏิบัติตามคำแถลงของโฆษก กทม. แต่แล้วช่วงเวลา 16.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานประชุม ศบค.สั่งให้ กทม.ยกเลิกมาตรการให้ร้านอาหารยุติให้บริการรับประทานในร้านที่ 19.00 น. แต่ให้ขยายไปถึงเวลา 21.00 น.จากข้อเรียกร้องจากสมาคมภัตตาคารที่เสนอเข้ามา
นับเป็นอีกครั้งที่เห็นช่องโหว่ในการตัดสินใจเรื่องมาตรการจากรัฐบาลกลาง ขณะที่มีการมอบอำนาจผู้ว่าฯ ให้สามารถพิจารณาออกมาตรการป้องกันแก้ไขได้ตามสถานการณ์ เพราะเห็นว่าเป็นผู้ที่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตัวเองได้ดีที่สุด แต่หาก ศบค.ซึ่งเป็นศูนย์ใหญ่ของการแก้ปัญหาโควิดไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็สามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือมาตรการที่ทางจังหวัดออกมาได้
มีรายงานว่าในการประชุม ศบค. เมื่อ 4 ม.ค.2564 ว่า ได้มีการพิจารณามาตรการของ กทม.โดย “รัฐมนตรี” ที่เกี่ยวข้องบางคน ให้ข้อสังเกตว่า การให้นั่งรับประทานในร้านได้ถึง 19.00 น.อาจจะเร็วเกินไป และนายกฯ ห่วงว่า เวลาดังกล่าวประชาชนจะทำอะไรไม่ทันในช่วงเวลานั้น ที่ประชุมได้พิจารณาผลกระทบแล้วเห็นว่า หากขยายเวลาออกไป ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากเท่าไหร่ จึงผ่อนปรนขยายไปเป็น 21.00 น.
จากคำสั่งตรงที่มาจากทำเนียบรัฐบาลขณะนั้นเอง ทำให้ฝ่ายบริหาร กทม.ต้องหารือเป็นการภายในอีกครั้ง เพื่อปรับเปลี่ยน “เนื้อหา” ที่ประกาศออกไปในช่วง 12.12 น. โดยจะยึดจากคำสั่งจาก พล.อ.ประยุทธ์ ให้ขยายเวลารับประทานอาหารไปถึง 21.00 น. แต่ขอให้ผู้ประกอบการต้องคุมเข้มมาตรการป้องกันการระบาดให้เคร่งครัด ตั้งแต่การคัดกรองอุณหภูมิ การเว้นระยะห่าง 1.5 เมตร
โดยเฉพาะข้อมูลสำคัญที่ กทม.มีอยู่ในมือถึงลักษณะการติดเชื้อจะมีโอกาสสูง หากมีการนั่งรับประทานอาหารใกล้ชิดกันและเป็นเวลานาน ซึ่งมีข้อมูลทางวิชาการระบุว่า การนั่งรับประทานอาหารนานกว่า 5 นาทีมีโอกาสจะมีการระบาด โดยเฉพาะช่วงเวลา 19.00-06.00 น.เป็นช่วงที่ผู้คนจะใช้เวลานั่งรับประทานอาหารร่วมกันนานที่สุด หากจำเป็นต้องลดโอกาสเสี่ยง
จึงเป็นที่มาของ “คำสั่งแรก” ให้หยุดบริการรับประทานอาหารในร้านถึงเวลา 19.00 น.เท่านั้น เพื่อลดระยะเวลาการรวมกลุ่ม เพราะหากไม่มีมาตรการที่เข้มข้น กทม.เป็นห่วงการแพร่ระบาดจะรุนแรง แต่ระหว่างนั้นที่ กทม.ต้องปรับเวลาใหม่ตามคำสั่งนายกฯ โดยมีประกาศฉบับที่ 16 ออกมาอย่างเป็นทางการในเวลา 20.10 น. ซึ่งกำหนดชัดเจนให้การรับประทานอาหารในร้านขีดเส้นไปถึงเวลา21.00 น. และกำหนดมาตรการป้องกันโควิดอย่างละเอียดไปถึง 3 กลุ่ม “เจ้าของ-ผู้ให้บริการ-ผู้ใช้บริการ”
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดระลอกใหม่ ซึ่งหลายฝ่ายอยู่ในภาวะตื่นตัวจากรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ยังพุ่งสูงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้นายกฯ ทั้งในฐานะผู้นำรัฐบาลและ ผอ.ศบค. ใช้อำนาจทบทวนคำสั่ง กทม.
แม้จะเป็นความจำเป็นในด้านเศรษฐกิจ เพราะคำสั่งภาครัฐที่ชัดเจนว่ารอบนี้รัฐบาลห่วงภาคธุรกิจต่างๆ ที่โควิดสร้างผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในเมืองหลวงอย่างสาหัส
แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การตัดสินใจที่ไม่เป็นเอกภาพระหว่างรัฐบาลกับผู้บริหาร กทม. ย่อมส่งผลถึงความไม่มั่นใจของประชาชนว่า รอบสองนี้ ศบค.จะเอาอยู่!