ออริจิ้น มองบวกอสังหาโต20% เล็งเปิด20โครงการมูลค่า2หมื่นล้าน

ออริจิ้น มองบวกอสังหาโต20% เล็งเปิด20โครงการมูลค่า2หมื่นล้าน

พร็อพเพอร์ตี้ ประเมินตลาดอสังหาฯโต20% จากดีมานด์ในประเทศเล็งเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวราบ แนวสูง20 โครงการมูลค่า 2หมื่นล้านบาท หลังกวาดยอดพรีเซลทั้งปี 63 ทะลุ 25,600 ล้าน

"พีระพงศ์ จรูญเอก" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี2564 ตลาดอสังหาฯ น่าจะโต20% มาจากดีมานด์คนไทย15% ต่างชาติ 5% จากภาพรวมปี2563 ตลาดหดตัวลง 15-18%  โดยในปีนี้คอนโดน่าจะเติบโต 25-30% เพราะปี2563เปิดตัวน้อย ส่วนแนวราบ หรือบ้านจัดสรรลดลง หรือ ติดลบ 5% จากปี2563 เติบโตสูง ทำให้ตลาดสวิงกลับมาที่คอนโดในปี2564  บนสมมติฐานว่า “ไม่มี” โควิดกลายพันธุ์ วัคซีนเอาอยู่ ไม่มีการระบาดระลอก 3 รุนแรง

 โดยในปี 2564 ออริจิ้นจะเปิดตัวบ้านจัดสรรและคอนโดอย่างละ 10 โครงการ รวม 20 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท แต่หากความรู้สึก (sentiment)ของลูกค้าในการจับจ่ายใช้สอยดี ก็สามารถเพิ่มขึ้นได้อีก เพราะมีแลนด์แบงก์เตรียมพร้อมไว้แล้ว ขณะเดียวกันยังคงแสวงหา “น่านน้ำใหม่” ที่เข้ามาสร้างรายได้ เพิ่มมูลค่าและความแตกต่างให้กับสินค้าและบริการ หนึ่งในนั้นคือการเกาะกระแสสุขภาพที่เข้ามาให้บริการแก่ลูกบ้านของออริจิ้นทั้งที่เป็นคอนโดและบ้านจัดสรร ทำให้ลูกบ้านมีสุขภาพดีไม่ต้องไปโรงพยาบาลหาแพทย์ 

พร้อมทั้ง “ลดความเสี่ยง” ด้วยการร่วมทุนกับพันธมิตรต่างประเทศเดิมและพันธมิตรใหม่ ที่มีเงินทุนและฐานลูกค้าเข้ามาร่วมลงทุน คาดว่า จะเปิดตัวในในไตรมาสแรก นอกจากนี้อยู่ระหว่างการศึกษาโครงการอสังหาฯ ที่มีการนำมาเสนอขายหากราคาได้ดีก็พร้อมซื้อ 


พีระพงศ์ ประเมินว่าใน ปี 2564 ตลาดที่ชะลอตัวคือกลุ่มลักชัวรี เซกเมนต์ที่เหลือน่าจะไปได้หมด เริ่มจากกลางไปจนถึงไฮเอนด์ คอนโดระดับกลางงราคา 3-5 ล้านบาท ไฮเอนด์ ราคา 5-10 ล้านบาท บ้านเซกเมนต์มาตรฐานเริ่มจากทาวน์เฮ้าส์ 3 ล้านบาท บ้านแฝด 5 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 7 ล้านบาท บ้าน 10-20 ล้านบาท ยังดีอยู่ แต่บ้านราคา 30ล้านบาทขึ้นไป “ไม่ดี” เพราะอัตราการการดูดซับช้า เนื่องจากเจ้าของกิจการยังกังวลเรื่องเศรษฐกิจทำให้ต้องสำรองเงินไว้เพื่อรองรับความผันผวน ขณะที่กลุ่มมนุษย์เงินเดือนเริ่มรีสตาร์ทแล้ว  พร้อมกันนี้สัดส่วนคอนโดจะกลับมามากกว่าแนวราบจากปีนี้สัดส่วนตลาดแนวราบมากกว่าคอนโด

สำหรับภาพรวมยอดขาย (Presale) ของบริษัท ทั้งปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 25,600 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายของปีนี้ที่วางไว้ที่ 21,500 ล้านบาท สวนทางสภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวม

“Key Success ของธุรกิจตอนนี้คือเรื่องการปรับตัว ซึ่งจากการปรับตัวอย่างต่อเนื่องทั้งช่วงก่อนและหลัง COVID-19 ส่งผลให้ปี 2563 ถือเป็นปีที่เราทำตลาดที่อยู่อาศัยกลุ่ม Ready to move ได้ค่อนข้างโดดเด่น คิดเป็นสัดส่วนราว 65% ของยอดขายทั้งหมด ขณะเดียวกัน ด้วยจุดเข็งของบริษัทในการวิเคราะห์ตลาด ตลอดจนการเลือกทำเลและเซ็กเมนท์ที่มีศักยภาพ ทำให้เราสามารถค้นหาเรียลดีมานด์เจอ พัฒนาสินค้าคุณภาพที่มีทั้ง Living Solution และ Reaching Solution ตอบโจทย์ความต้องการ และสร้างยอดขายในกลุ่มโครงการเปิดตัวใหม่ได้ดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายรวมทั้งปี 2563 ของเราออกมาได้เหนือกว่าเป้าหมาย” นายพีระพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ได้ปรับตัวอย่างต่อเนื่องหลายอย่างตั้งแต่ช่วงก่อน COVID-19 อาทิ การปรับสัดส่วนธุรกิจมาพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด เพิ่มขึ้น การเปิดตัวแบรนด์บ้านจัดสรรเซ็กเมนท์ใหม่ๆ ทั้งเซ็กเมนท์ตลาด 2-5 ล้านบาทอย่างแบรนด์ไบรตัน (Brighton) เซ็กเมนท์ตลาด 7-10 ล้านอย่างแกรนด์บริทาเนีย (Grand Britania) และเซ็กเมนท์ 25 ล้านบาทขึ้นไปอย่างเบลกราเวีย (Belgravia)ส่งผลให้มียอดขายบ้านจัดสรรคิดเป็นสัดส่วนราว 25% ของยอดขายทั้งหมดในปี 2563 เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในตลาดใหม่ๆ มากขึ้น

ขณะเดียวกัน บริษัทยังรักษาระดับการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในปริมาณใกล้เคียงเดิม แต่ใช้หลากหลายกลยุทธ์เพื่อให้เข้าถึงตลาดได้กว้างขึ้น อาทิ การเปิดตัวแบรนด์ใหม่ โซโห แบงค็อก (SOHO Bangkok) โครงการแรกบนทำเลรัชดา เพื่อขยายฐานตลาดไฮเอนด์เพิ่มขึ้น แม้จะเพิ่งเปิดตัวในช่วงปลายไตรมาส 4 แต่ก็ได้รับการตอบรับที่ดี มียอดขายแล้วกว่า 60% การจับมือพันธมิตรเกาหลีใต้พัฒนาโครงการไนท์บริดจ์ สเปซ สุขุมวิท พระราม 4 (KnightsBridge Space Sukhumvit Rama 4) จนทำให้กวาดยอดขายไปแล้วถึง 98% ด้านแบรนด์ดิ ออริจิ้น (The Origin) ก็ใช้กลยุทธ์ใหม่ๆ เช่น Origin Next Normal ลดต้นทุนด้านการบริหารจัดการที่ไม่กระทบต่อตัวสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงโครงการที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น

ขณะที่โครงการกลุ่ม Ready to move ก็ประสบความสำเร็จจากโครงการ Everyone can sell โครงการที่เปิดโอกาสให้พนักงานเครือออริจิ้นกว่า 1,200 คน กลายเป็น Micro-Influencer สร้างยอดขายได้ด้วยการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายตัวเอง โดยโครงการดังกล่าวสร้างยอดขายในปีนี้ได้ถึงราว 10% ของยอดขายทั้งปี

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับปี 2563 นั้น ถือเป็นปีที่ภาคเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์มีการปรับฐานครั้งใหญ่จากปัจจัยที่ไม่เคยเผชิญมาก่อน และน่าจะเป็นจุดพักฐานที่ต่ำที่สุดในรอบหลายปี ขณะที่ปี 2564 นั้น สถานการณ์ COVID-19 ระลอกใหม่ อาจเข้ามามีส่วนกดดันตลาดในระยะสั้นช่วงต้น-กลางไตรมาสแรก แม้ระยะยาวอาจจะต้องจับตากันอย่างต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมทั้งปีของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และภาพรวมทั้งปี 2564 จะยังเติบโตได้มากกว่าปี 2563

“ปีนี้เรามีตัวพลิกเกม หรือ Game Changer ที่ชัดเจนกว่าปี 2563 คือการทยอยฉีดวัคซีนทั่วโลกและโอกาสกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง เรื่องดังกล่าวจะส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ผู้บริโภคกลับมามีกำลังซื้อและมีความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ขณะเดียวกันทุกภาคส่วนของไทยก็มีความตื่นตัวต่อสถานการณ์ มีความจริงจังต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ออริจิ้นและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆ เอง ก็มีประสบการณ์การปรับตัวและการรับมือกับความท้าทายต่างๆ ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา เชื่อว่าทั้งหมดจะเป็นปัจจัยสำคัญให้ภาพรวมตลาดปี 2564 ขับเคลื่อนไปได้มากกว่าปี 2563” นายพีระพงศ์ กล่าว

นอกจากนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ยังมีโอกาสได้รับปัจจัยบวกอื่นๆ เพิ่มเติมในปี 2564 อาทิ การได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับ 1 ของประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) จากบลูมเบิร์ก และนโยบายไทยแลนด์ อีลิท การ์ด ที่จะเข้ามามีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ตลาดฮ่องกง สิงคโปร์ และอีกหลากหลายชาติที่สนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งสนใจตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยมากกว่าเดิม สำหรับออริจิ้นเอง เตรียมพร้อมทั้งการวางแผนและการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับทุกปัจจัยที่อาจจะเข้ามาในปี 2564