นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจของธนาคารในปี 2564 ว่า ภายใต้วิกฤติโควิด-19 ที่ทำให้ทั่วโลกเผชิญความผันผวนสูง มีความซับซ้อนมากขึ้น และภายใต้ความไม่เท่าเทียม ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้การดำเนินธุรกิจในระยะข้างหน้าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ขณะเดียวกันการทำธุรกิจในโลกอนาคต จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตอบโจทย์ความพึงพอใจของลูกค้า จึงต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่ม Productivity รูปแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์ทั้งเรื่องลดต้นทุน และทำให้ลูกค้าพึงพอใจขั้นสูงสุด ซึ่งการทำแบบนั้นได้ แปลว่าธุรกิจธนาคาร ไม่สามารถเดินไปด้วย speed แบบเดิมอีกต่อไป ดังนั้นกรุงไทย จึงต้องปรับตัวสู่การดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ ที่สอดคล้อง และเหมาะสม กับสถานการณ์ ภายใต้ยุทธศาสตร์คู่ขนาน หรือ 2 Banking Model ที่ขับเคลื่อนองค์กรไปพร้อมๆ ประกอบด้วย
1.การขับเคลื่อนธุรกิจแบบดั้งเดิม (Traditional Banking) เปรียบเสมือนเรือบรรทุกเครื่องบิน (Carrier) เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนธุรกิจหลักที่ธนาคารดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบัน จุดมุ่งหมายหลักคือ ลดการกัดกร่อนของรายได้และกำไรจาก Disruption ให้น้อยที่สุด
2.การขับเคลื่อนธุรกิจแบบใหม่ (Digital Organization) เปรียบเสมือนเรือเร็ว (Speed boat) เป็นองค์กรใหม่ที่มีจุดมุ่งหมายในการแสวงหาโอกาสและรายได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ (New Business Model) หรือการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ ตลอดจนการสร้างแพลตฟอร์มแบบเปิด (Open Banking) ที่เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น แอปพลิเคชันเป๋าตัง โดยแพลตฟอร์ม และแอปพลิเคชันทั้งหมดจะถูกสนับสนุนด้วยเทคโนโลยี Machine Learning และ Data Analytics ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าสมบูรณ์แบบและเชื่อมต่อไปยังลูกค้าเป้าหมายใน Ecosystems อย่างไร้รอยต่อ
ขณะเดียวกัน ภายใต้ ยุทธศาสตร์ 2 Banking Model มี 5 ยุทธศาสตร์สำคัญ ที่ธนาคารใช้ในการดำเนินธุรกิจปี 2564 คือเดินตามแผนยุทธศาสตร์ 5 Execution Pillars ด้านที่ 1. คือการเดินตามยุทธศาสตร์กรุงไทยคุณธรรม (Krungthai Susainability) โดยขับเคลื่อนผ่านการสร้างสรรค์ สามัคคี สำเร็จ สังคม สัตย์ซื่อ ซึ่งการเดินตามยุทธศาสตร์นี้จะทำให้กรุงไทยมีกลไกข้างใน มี Hackathon หรือนวัตกรรมที่สร้างมาต้องสัมฤทธิผล ซึ่ง Hackathon ไม่ใช่คำพูดเก๋ๆ แต่ทำให้ ธนาคารเห็นช้างเผือกทั่วประเทศ และคอย หา Future leaders ให้กรุงไทย รวมถึงสร้างการตื่นตัวให้กรุงไทยในการ Agile Resilience ให้การปรับกระบวนการต่างๆมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
2. สองคือการประคับประคองธุรกิจเดิมของธนาคารให้เติบโตต่อเนื่อง ภายใต้เรือบรรทุกเครื่องบิน แบงก์ยังมีรายได้หลักจากการปล่อยสินเชื่อ ขายหน่วยลงทุน ดูแลเงินลงทุน หากเงินฝากถูกๆ มาปล่อยกู้ต่อ และทำเรื่อง Cross selling การขายผลิตภัณฑ์ข้ามโปรดักต์ และเรายังต้องดูแลยานแม่ ไม่ให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลไม่มากเกินไป ไม่ให้มี "หน้าผาเอ็นพีแอล” ดังนั้นธนาคารจำเป็นต้องมุ่งเน้นและโฟกัสให้ละเมียดละไม และต้องทำให้สมูทให้ผ่านช่วงเปราะบางนี้ให้ได้มากที่สุด
3.การสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ผ่าน “อินฟินิธัส บาย กรุงไทย" ที่เปรียบเสมือน เรือเร็ว หรือสปีดโบ๊ทของกรุงไทย เพื่อเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการไปสู่ดิจิทัล เช่นการขับเคลื่อนระบบเปิด ผ่านเป๋าตัง เพื่อยกระดับประชาชนไปสู่ดิจิทัล ปัจจุบันมีลูกค้าบนแพลตฟอร์มสู่ 40 ล้านคนแล้ว 4.คือ การใช้กระดาษให้น้อยที่สุด หรือ Paperless โดยใช้ดิจิทัลมาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสินเชื่อ เพื่อลดกระบวนการหลังบ้าน โดยธนาคารกรุงไทยตั้งเป้าไร้กระดาษในปีหน้าถึง 50%
และสุดท้าย 5. คือ การทำธุรกิจแบบต่อยอดธุรกิจจากคู่ค้าของลูกค้าหรือ X2G2X ธนาคารจะไม่ออกไปต่อยอดหาลูกค้าใหม่ โดยที่ไม่ได้ยึดหลักธุรกิจกับคู่ค้าของลูกค้ากรุงไทย เพราะโลกของดิจิทัล การหาลูกค้าใหม่ โดยไม่มีอีโคซิสเต็ม ไม่มี digital enabler จะทำให้กรุงไทยสูญเสียทรัพยากรมาก ดังนั้นทุกโปรเจคที่กรุงไทยเดิน ต้องสามารถต่อยอดได้ ต้องปักธงแล้วต้องเก็บให้ได้ ต้องสามารถต่อยอดจากอีโคซิสเต็ม ดังนั้นทุกอย่างต้องสตรีมไลน์กันหมด นี่คือโรดแมพที่ธนาคารวางไว้
“เราเชื่อว่า ปีหน้าเป็นปีแห่งวิกฤติพายุ หรือ perfect Storm ดังนั้นหาก Execution ไม่ดีก็ไม่มีประโยชน์ เราถึงเดินตามยุทธศาสตร์ Execution through the perfect Storm หรือยุทธศาสตร์ฝ่าวิกฤติพายุ”
