ปี64อุตฯถุงมือยางลุยลงทุน รับไม้ต่อ“นิวนอร์มอล”

ปี64อุตฯถุงมือยางลุยลงทุน  รับไม้ต่อ“นิวนอร์มอล”

อุตสาหกรรมถุงมือยางเป็นโอกาสที่ได้จากวิกฤติโควิด อย่างแท้จริง โดยหลังจากนี้ ไม่ว่าทั่วโลกจะสามารถควบคุมการระบาดของโรคได้หรือไม่ แต่การใช้ถุงมือยางจะยังมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า ได้หารือกับผู้ผลิตถุงมือยางทั้งกลุ่มใหม่ กลุ่มเดิม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

(บีโอไอ) เพื่อผลักดันให้ขยายการลงทุนและใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอกับความต้องการเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านยางพาราของโลก โดยจะส่งผลให้เกิดการใช้ยางในประเทศมากขึ้นและดึงราคาที่เกษตรกรได้รับสูงตามไปด้วยอย่างมีเสถียรภาพ

 โดยการผลิตถุงมือยาง แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ถุงมือยางทางการแพทย์,ถุงมือยางที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และถุงมือยางที่ใช้ในครัวเรือน ซึ่งถุงมือยางทางการแพทย์นั้นจะแยกเป็นถุงมือเพื่อใช้ในการผ่าตัด จะมีความบาง ยืดหยุ่นสูง แต่มีความแข็งแรง และระบุข้อความความผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ 100%และถุงมือตรวจโรค มีความบางและกระชับประเทศที่ส่งออกถุงมือยาง มากที่สุดคือมาเลเซีย  รองลงมาคือไทย ตามด้วย จีน เยอรมัน อินโดนีเซียและอื่นๆ มูลค่าในตลาดโลกรวมประมาณ 2.5แสนล้านบาทโดยประเทศที่นำเข้าถุงมือยางมากที่สุด คือสหรัฐ อังกฤษ เยอรมัน ญี่ปุ่น จีน และอื่นๆ

ส่วนโรงงานถุงมือยางของไทยมีทั้งสิ้น55โรงงาน จากผู้ประกอบการ47 รายมูลค่าการลงทุน 7,159 ล้านบาท แยกเป็นผู้ประกอบการไทย 16 ราย 546 ล้านบาท มาเลเซีย 1 ราย 520 ล้านบาท โปแลนด์ 1 ราย 322 ล้านบาท จีน 1 ราย 151 ล้านบาท ญี่ปุ่น 1 ราย 96 ล้านบาทและไทยร่วมทุน 25 ราย 5,524 ล้านบาท

ในจำนวนนี้ บริษัทศรีตรังโกลฟล์(ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 รองลงมาคือ บริษัท คาร์ดิแนล เฮลท์222 (ประเทศไทย) จำกัดบริษัท เซฟสกิน เมดดิคอล แอนด์ ไซเอนทิฟิก (ประเทศไทย) จำกัดบริษัท ชัวร์เท็กซ์ จำกัดบริษัท เมอร์กาโต้ เมดิคัล (ไทยแลนด์)จำกัด

 วีรสิทธิ์ สินเจริญกุล นายกสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย กล่าวว่า คาดว่าในปีหน้า ความต้องการจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 10% จึงถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบผู้ผลิตถุงมือยางของไทยในการขยายและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น จากปัจจุบันที่มาเลเซียยังเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ โดยมีสัดส่วนการตลาดสูงถึง 62%

 “ไทยมีจุดแข็งที่เป็นข้อได้เปรียบเช่นมีแหล่งผลิตวัตถุดิบที่มีคุณภาพดี ต่างจากมาเลเซียที่ต้องสั่งซื้อน้ำยางข้นจากไทย ผู้ประกอบการทุกรายมีประสบการณ์ เป็นที่ยอมรับของลูกค้าและไทยมีแรงงานที่เชี่ยวชาญ “

อย่างไรก็ตาม ยังมีจุดอ่อนที่รัฐต้องเข้ามาสนับสนุน ในด้านแหล่งทุน กฎระเบียบผังเมืองเพื่อตั้งโรงงาน ซึ่งปัจจุบันมีกฎระเบียบหลายขั้นตอนและยุ่งยากในการขอจัดตั้ง โดยสมาคมฯวางเป้าเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดโลก เป็น 20%พร้อมทั้งยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตถุงมือยางธรรมชาติของโลก

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือSTGTผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลกกล่าวว่ามีความมั่นใจว่าบริษัทฯ จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้ในอนาคตจะมีการผลิตวัคซีนป้องกันCOVID-19 ได้เป็นผลสำเร็จ พร้อมคาดการณ์ความต้องการใช้ถุงมือยางน่าจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นในช่วงระยะเวลาของการฉีดวัคซีน และในระยะยาวความต้องการใช้ถุงมือยังแข็งแกร่งและสดใสจากการเติบโตของความต้องการใช้ถุงมือในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างแพร่หลายไม่เฉพาะในทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้นเพื่อสุขอนามัยที่ดีในยุคNew Normalที่คนทั่วโลกใส่ใจการรักษาความสะอาดยิ่งขึ้น

 ทั้งนี้STGTได้ทุ่มงบเร่งวิจัยและพัฒนา (R&D) ‘ถุงมือยางธรรมชาติที่ไม่ก่อให้เกิดการแพ้โปรตีน’ ซึ่งผลิตจากสูตรน้ำยางธรรมชาติและกระบวนการผลิตที่ผ่านการคิดค้นและทดลองจนสามารถป้องกันไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ทางผิวหนังได้ ซึ่งจะเป็นสินค้านวัตกรรมใหม่ที่สามารถสร้างความแตกต่างและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าเพื่อเจาะตลาดเซกเมนต์ใหม่ โดยมีเป้าหมายผลิตเพื่อจำหน่ายได้ในช่วงกลางปี 2564