“จตุพร”ย้ำถึงเวลายุบนปช.-ถึงเวลาหนุ่มสาวสู้ต่อ

“จตุพร”ย้ำถึงเวลายุบนปช.-ถึงเวลาหนุ่มสาวสู้ต่อ

“จตุพร”ย้ำถึงเวลายุบนปช.-ชี้ถ้ายังอยู่ยิ่งเป็นปัญหาทางการเมือง ลั่นไม่ควรแบกความหวังลมๆแล้งๆอีกต่อไป ย้ำฟ้องพวกหยามเกียรติภูมินักประชาธิปไตย

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk  ถึงเหตุผล ยุบ นปช. ว่า ถ้าองค์กรยังอยู่ ก็ยิ่งจะเป็นปัญหาการเมือง และไม่เป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวอันใด ดังนั้น จึงไม่ควรแบกความหวังลมๆแล้งๆไว้อีกต่อไป

 

ขบวนการต่อสู้ของประชาชนแต่ละยุคสมัย ล้วนยุติบทบาทลงหลังจากเสร็จสิ้นการต่อสู้ อีกทั้งแกนนำต่อสู้จะมีบทบาทเพียงในสมรภูมิเดียว ไม่ปรากฎไปต่อสู้ในสมรภูมิอื่นอีกเลย  เช่น เสกสรร ประเสริฐกุล และเสาวนีย์ ลิมมานนท์ หลังจากยุค 14 ตุลา 2516 แล้ว ไม่ปรากฎตัวในเหตุการณ์อื่นอีก 

 

ส่วนพฤษภาทมิฬ การต่อสู้จบลงภายหลังเหตุการณ์สิ้นสุด คงเหลือแต่การตั้งมูลนิธิฯ และคณะกรรมการญาติวีรชน มาเรียกร้องการแก้ปัญหาในสังคม นอกจากนี้ ในช่วง 15 ปีที่ผานมานี้ 3 องค์กรที่มีบทบาทการต่อก็ยุติลง เช่น พันธมิตรฯ และ กปปส. แต่ นปช. ยังไม่ประกาศยุติบทบาทชัดเจน ซึ่งความจริงแล้วควรยุติลงหลังเหตุการณ์ ปี 2553 เพราะความตื่นตัวของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยอยู่ในช่วงที่ต่ำสุด

 

"ระหว่างนั้น นปช.ยังต้องอยู่เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับคนตาย อีกทั้งหลังเลือกตั้งปี 54 ได้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้ว ควรต้องยุติบทบาท แต่ต้องทำภารกิจปกป้องประชาธิปไตย อีกอย่างความเชื่อการต่อสู้ถูกแปรเปลี่ยนไปให้นักการเมืองเข้ามาจัดการคนเสื้อแดงแทน เป็นการแบ่งแยกปกครองทำลายมากมาย จนมาถึงจุดการอ้างว่า รัฐบาลอยู่ได้ด้วยฝ่ายที่ปราบปรามคนเสื้อแดงปี 53"

 

นายจตุพร เล่าต่อว่า กระทั่งนำไปสู่รักแท้ในคืนหลอกลวงกรณี พรบ.สุดซอย รวมทั้งการวางแผนให้ตนถูกตัดสิทธิ์ในวันที่ 18 พ.ค. 2555 และในวันที่ 19 พ.ค.ก็นัดชุมนุมครบรอบ 2 ปี เพื่อต้องการให้กระทำการบางอย่าง ซึ่งเป็นการหลอกลวงชนิดรุนแรงที่สุด

อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่เล่าเรื่องนี้ ต้องการบอกว่า คนเสื้อแดงไม่ได้อยู่ในช่วงแข็งแรงเหมือนปี 2553 อีกทั้งในปี 2557 ตนถอยมาแล้วจากการเจ็บปวดกับ พรบ.สุดซอย ซึ่งจะพาให้ขบวนการประชาธิไตยเดินเข้าสู่คลิลิ่งโซน แล้วแพ้ราบคาบ พร้อมกับยัดการกล่าวหาที่รุนแรงให้ จากนั้น ตนถูกตามให้มาต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง ตนก็มาเพราะเห็นว่า ประชาธิปไตยกำลังสูญเสีย 

 

ดังนั้น ที่ผ่านมามีหลายช่วงเวลาที่ต้องยุติบทบาท รวมทั้งขณะนี้แกนนำส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องหาหมด จึงสมควรต้องยุติบทบาทองค์กร นปช.อย่างยิ่ง การจะมีองค์นี้ต้องตอบคำถามว่า อยู่เพื่ออะไร หลายคนตั้งคำถามพร้อมข้อกล่าวหา ทั้งที่ผมอธิบายเสมอว่า ทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพ ใครต้องการทำอะไรก็เชิญ ดังนั้น แกนนำในปี 53 จึงอยู่ในมุมเดียวกันหมด จึงไม่ควรแบกความหวังลมๆแล้งๆ"

 

นายจตุพร กล่าวว่า แม้ตนพยายามอธิบายแล้ว แต่คนไม่ฟังกัน เพราะเวลาที่เหลืออยู่นั้น มีการต่อสู้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น เนื่องจากเราไม่มีความพร้อม เมื่อขยับจะถูกถอนประกันทันที แล้วลากยาว จึงไม่มีโอกาสเป็นคำรบสองอีก ส่วนคดีแพงก็จะถูกบังคับคดีเช่นกัน

 

“การดำรงอยู่ขององค์กร นปช.ที่ผ่านมานั้น ตนจะพยายามทำเรื่องของพี่น้องในเรือนจำ ดังนั้น วันนี้ เราเองได้ฝืนชะตาธรรมชาติมายาวนาน และสถานการณ์วันนี้เป็นภารกิจของคนหนุ่มสาวที่ต้องนำพาประเทศ ผมจึงเห็นว่า การดำรงอยู่ต่อไปไม่เป็นประโยชน์ เพราะสถานการณ์เปลี่ยน คนเสื้อแดงกระจัดกระจายไปสู่พรรคการเมืองอื่นๆ ตั้งแต่เลือกตั้งที่ผ่านมา ดังนั้น ยิ่งอยู่จึงยิ่งจะเป็นปัญหาการเมือง และไม่เป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวอันใด" 

 

รวมทั้ง อธิบายถึงการกระจัดกระจายว่า เมื่อคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ตั้งพรรคใหม่ หรือนายจาตุรนต์ ฉายแสง จะตั้งพรรคใหม่ คนเสื้อแดงจะกระจัดกระจายไปช่วยสนับสนุนอีก จึงแสดงให้เห็นว่า ถ้ามีองค์กรเสื้อแดงจึงไม่มีประโยชน์อันใดทั้งสิ้น

 

“เมื่อ นปช.เป็นองค์กรที่มีการต่อสู้ จึงควรปิดฉากงดงามที่การต่อสู้ เพราะเราไม่มีทางเดินไปจุดเข้มแข็งเช่นปี 53 ได้อีก อีกทั้งต้องยอมรับความจริงว่า การตัดสินใจของ นปช.ไม่ได้เกิดตามลำพังมาตลอดระหว่างทางต่อสู้อยู่แล้ว เพียงแต่ทุกคนรักษามารยาทในแต่ละเรื่องราว และที่ผ่านมาเราพยายามประคับประคององค์กรประชาชนให้อยู่อย่างมีเกียรติเท่านั้น”

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่ง จึงถึงเวลาแล้วต้องยุติบทบาท แล้วกลับไปใช้ตัวตนของแต่ละบุคคลที่มีศักยภาพกัน เมื่อยุติบทบาทกันแล้ว ตนก็จะเดินสายพูดคุย ซึ่งเชื่อว่าทุกคนคงเห็นไม่แตกต่างกัน เมื่อเดินมาจุดนี้ ถ้าไม่ยอมรับความจริง ยิ่งสร้างความเสียหายได้

 

ดังนั้น ตนเชื่อว่า โดยส่วนใหญ่ยังเลือกวิถีประชาธิปไตย การกระทำในอนาคตนั้นจะอยู่ในองค์กรใดก็ตาม จะสามารถกระทำได้ ไม่ว่าการเปิดพื้นที่แก้ปัญหาชาติบ้านเมือง ทั้งเรื่องเผด็จการทหาร เศรษฐกิจ ซึ่งแต่ละฝ่ายจะได้แยกกันไปทำหน้าที่ตามบทบาทกันได้

 

“ที่สำคัญคือ การยุบ นปช.ไม่ได้หมายความว่า เราจะไปอยู่กับเผด็จการ เพราะนี่คือความเลวร้ายในการตั้งข้อกล่าวหา เป็นความชั่ว เป็นความอัปรีย์ที่สุด ซึ่งผมรู้ขบวนการนี้เกิดมาได้อย่างไร และผมได้นัดทีมทนายความเพื่อดำเนินคดีกันจริงๆ ทั้งแพงและอาญากับคนเก่งทั้งหลายที่ต่อว่าคนอื่นสาดเสียเทเสีย โดยเฉพาะการว่าเป็นเผด็จการ"

 

 นายจตุพร กล่าวว่า การกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นพวกคนกล่าวหา จึงมีหน้าที่ต้องอธิบายเป็นเผด็จการอย่างไร ซึ่งจะเป็นทางรอดทางเดียวเท่านั้น และจะแจ้งให้ทราบทุกคนไม่ว่าเป็นร้อย หรือพันคนก็ตาม เพราะขบวนการใส่ร้ายนี้มีทั้งในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งเป็นความเลวร้ายในสังคมปีศาจ เป็นเกมสกปรก และคนอย่างตนฆ่าได้แต่หยามไม่ได้

 

ส่วนการทำความเข้้าใจในหมู่มิตรนั้น ในการต่อสู้กับเผด็จการทหาร ไม่จำเป็นต้องใช้ความเป็น นปช. ต้องหลอมรวมความสามัคคีทุกฝ่ายในการต่อสู้ ดังนั้น ตนเชื่อว่า ไม่มีเหตุผลในการยื้อต่อไป และปล่อยให้เป็นตำนานการต่อสู้ที่มีคนตายเป็นประวัติศาสตร์ อีกทั้งอธิบายถึงความอยุติธรรมมากมายแล้ว ไม่มีใครเกินการต่อสู้ของคนเสื้อแดง

 

ดังนั้น เมื่อมีอิสระต่อกันแล้ว จึงควรมาตั้งต้นใหม่ของแต่ละคน เพื่อพิสูจน์หนทาง และพวกกล่าวหาต้องพิสูจน์ให้ได้ด้วยว่า ตนไปร่วมกับเผด็จการอย่างไร อีกอย่างตนไม่หวั่นไหวในการฟ้อง ถึงจะเป็นร้อยคนหรือพันคนก็ตาม แต่จะมาทำลายเกียรติภูมินักประชาธิปไตยของตนไม่ได้