ธนาคารโลกแนะเพิ่มลงทุน ยกระดับสู่ประเทศรายได้สูง

ธนาคารโลกแนะเพิ่มลงทุน ยกระดับสู่ประเทศรายได้สูง

ธนาคารโลก แนะไทยเร่งเพิ่มการลงทุนภาครัฐ-เอกชนอีก 20% เพื่อรักษาการเติบโจชองเศรษฐกิจให้ได้ไม่ต่ำกว่า 5% อย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรลุการยกระดับสู่ประเทศรายได้สูงภายในปี 2580

นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง “ผลิตภาพการผลิตขององค์กรในประเทศไทย” ว่า  หากประเทศไทยต้องการที่จะบรรลุเป้าหมายตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศโดยการเปลี่ยนจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2580 และฟื้นตัวจากผลกระทบทางเศรษฐกิจของการแพร่ระบาดของโควิด จำเป็นต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างเพื่อกระตุ้นการลงทุนและเพิ่มผลิตภาพการผลิตในในภาคการผลิต โดยจะต้องรักษาอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยให้ได้มากกว่า 5% ไปจนถึงปี 2568 และเพื่อให้การเติบโตเป็นไปตามเป้านี้ จำเป็นที่ต้องเพิ่มการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนจากปัจจุบันที่ 20% ให้ถึง 40% ในขณะที่ยังคงรักษาอัตราการเติบโตของผลิตภาพการผลิตรวม ซึ่งคล้ายกับกรณีของประเทศเกาหลีใต้ที่ต้องรักษาการเติบโตในอัตรานี้ในช่วงที่มีค่า GDP ต่อหัวเท่ากับของประเทศไทยในปัจจุบัน

“ในการยกระดับมาตรฐานการครองชีพต้องเน้นที่การเพิ่มผลผลิตต่อคน หรือการผลิตสินค้าและบริการให้ได้มากขึ้นตามจำนวนชั่วโมงการทำงาน ดังนั้นไทยจำเป็นต้องเร่งการปฏิรูปโครงสร้างผ่านการส่งเสริมการย้ายแรงงานจากภาคธุรกิจที่มีผลิตภาพต่ำ เช่น ภาคเกษตรกรรม ไปยังภาคธุรกิจที่มีผลิตภาพสูง เช่น ภาคการผลิต"

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ผลิตภาพการผลิตของประเทศไทยเติบโตในเกณฑ์ต่ำ ส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ในภาวะถดถอย การเติบโตของเศรษฐกิจจากระดับเฉลี่ย 4.8%  ในปี 2535 – 2551 ลดลงเป็น 3.3% ในปี 2551-2561  สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้ปัญหาด้านผลิตภาพการผลิตของประเทศทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี 2563 เศรษฐกิจจะหดตัวลงประมาณ 6-7% ซึ่งมีโอกาสที่เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบในระยะที่ยาวนานขึ้น รวมถึงผลิตภาพที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในระยะยาว

หลังจากวิกฤติการเงินโลก (ปี 2552-2561) ผลิตภาพการผลิตในภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยลดลงครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบจากอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 2% ในปี 2541-2551 เหลือ 1% ผลิตภาพแรงงานในภาคอุตสาหกรรมซึ่งวัดจากมูลค่าเพิ่มต่อคน เติบโตในอัตราเฉลี่ยเพียง 0.5% ในปี 2551-2561 เทียบกับกว่า 3% ในปี 2541-2551

“การเพิ่มผลิตภาพจะเป็นส่วนสำคัญของการปฏิรูปโครงสร้างในระยะยาวของประเทศไทย ผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ ผลิตภาพ ที่จะต้องมุ่งเน้นให้เกิดการแข่งขันภายในประเทศมากขึ้น  เปิดกว้างต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI)มากขึ้น และส่งเสริมระบบนิเวศน์ให้กับองค์กรในการสรรค์สร้างนวัตกรรม

รายงานฉบับนี้ยังได้วิเคราะห์ถึงประเภทขององค์กรที่มีผลิตภาพดีและข้อจำกัดที่มีผลต่อผลิตภาพดังต่อไปนี้ บริษัทฯผู้ผลิตที่ทำการส่งออกมากขึ้นจะมีการเติบโตด้านผลิตภาพที่สูงขึ้น อุตสาหกรรมที่เน้นตลาดภายในประเทศมีการแข่งขันน้อยลง ทำให้องค์กรที่มีผลิตภาพดีเข้ามาเล่นอยู่ในตลาดน้อยลงและองค์กรที่ไม่มีผลิตภาพก็ออกไปจากตลาดน้อยลงด้วย จึงทำให้ผลิตภาพโดยรวมนั้นตกต่ำลง องค์กรที่ได้รับการลงทุนจากต่างประเทศโดยตรง (FDI) จะมีผลิตภาพที่ดีกว่า มีองค์กรขนาดเล็กจำนวนมากที่มีผลิตภาพดีแต่ไม่เติบโตในขนาด และทักษะ รวมถึง การวิจัยและพัฒนา (R&D) เป็นสิ่งที่สำคัญต่อผลิตภาพขององค์กร

ทั้งนี้ รายงานได้นำเสนอข้อเสนอแนะด้านนโยบาย ซึ่งรวมไปถึง การบังคับใช้พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้าฉบับใหม่โดยมีนโยบายเกี่ยวข้องกับรัฐวิสาหกิจกำกับไว้อย่างชัดเจน การควบคุมราคาและพฤติกรรมการผูกขาดทางการค้า การส่งเสริมให้การลงทุนเปิดกว้างมากขึ้นเพื่อช่วยดึงดูดการลงทุนและการสร้างองค์กรใหม่โดยการผ่อนคลายขอบเขตการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ยกเลิกข้อจำกัดในการให้บริการ และเสริมสร้างการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา นอกจากนี้ ควรมุ่งเน้นเพิ่มทักษะให้มากยิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของเศรษฐกิจฐานความรู้เชิงนวัตกรรม