จาก 'โรงแรม' สู่ 'ASQ' การปรับตัว ควบคู่ความปลอดภัย

จาก 'โรงแรม' สู่ 'ASQ' การปรับตัว ควบคู่ความปลอดภัย

ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 การต่อสู้ท่ามกลางสถานการณ์ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติแทบจะเป็นศูนย์ ทำให้ธุรกิจโรงแรมปรับราคาเพื่อให้คนไทยเข้าถึง ขณะที่อีกหลายแห่งปรับให้เป็น ASQ สถานกักตัวทางเลือก

สถานที่กักกันถือเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมโรคสำหรับคนที่เข้ามาในประเทศ ข้อมูลจาก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) ล่าสุด (8 ธันวาคม 2563) พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมี สถานที่กักกันของรัฐ (State Quarantine : SQ) 25 แห่ง สถานที่กักกันทางเลือก (Alternative State Quarantine : ASQ) 116 แห่ง โดยมีโรงพยาบาลเป็นคู่สัญญากับ ASQ จำนวน 17 แห่ง สถานที่กักกันทางเลือกในพื้นที่ (Alternative Local Quarantine : ALQ) 39 แห่ง และสถานกักกันที่เป็นโรงพยาบาล (Alternative Hospital Quarantine : AHQ) 183 แห่ง

โดยขณะนี้มีคนเดินทางจากต่างประเทศเข้ามาอยู่ในสถานที่กักกันราว 171,016 คน อัตราการตรวจพบติดเชื้อภาพรวมอยู่ที่ 0.67% ส่วนใน ASQ อยู่ที่ 0.54% ซึ่งไม่ได้สูงเมื่อเทียบกับภาพรวมของการติดเชื้อในสถานที่กักกันต่างๆ ทั้งนี้ ใน ASQ มีการวางระบบความปลอดภัยให้ทั้งผู้เข้าพัก ผู้ให้บริการ และยังมีผู้ดูแล ที่เรียกว่า โควิดคอมมานเดอร์ มาดูแลในแต่ละโรงแรม และยังมีของกระทรวงกลาโหมที่ เรียกว่า อินซิเดนท์คอมมานเดอร์

“ปรินทร์ พัฒนธรรม” Executive Assistant Manager of Movenpick BDMS Wellness Resort Bangkok ในฐานะประธานชมรม ASQ Thailand Club กล่าวว่า สำหรับธุรกิจโรงแรมการปรับตัวมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ การเปลี่ยนกลุ่มลูกค้า ปรับราคาให้คนไทยเอื้อมถึง และ การปรับตัวตามความต้องการของลูกค้า ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้มาเที่ยวแต่มากักตัว โดยเปลี่ยนโรงแรมให้เป็นสถานที่กักตัวทางเลือก หรือ ASQ 

“Movenpick ถือเป็นโรงแรมแรก ที่เริ่มขยับตั้งแต่ช่วง ก.พ. – มี.ค. 63 ที่ประเทศประกาศล็อกดาวน์ โดยเริ่มปรับตัวเองสำหรับคนไทยที่กลับจากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ หากไม่มั่นใจว่าปลอดภัยหรือไม่ สามารถมากักตัว 15 วัน มีบริการตรวจโควิด-19 นั่นคือ ขั้นตอนแรกที่โรงแรมเริ่มปรับ”

160765902445

หลังจากนั้น พอเริ่มมาทำ ASQ เหมือนเป็นก้าวที่ใหญ่ขึ้น เป็นการปรับตัว 100% Movenpick ถือเป็นโรงแรมแรกที่ได้รับการอนุมัติ ASQ ในวันที่ 25 เมษายน 2563 และเป็นจุดเริ่มต้นของ ชมรม ASQ Thailand Club ปัจจุบัน เปิดให้บริการ 280 ห้อง จาก 299 ห้อง ภายใต้การกำกับดูแล โดย รพ.กรุงเทพ เพื่อสอนพนักงานทั้งหมด เปลี่ยนพนักงานโรงแรมเป็นพนักงานโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล การที่จะเข้าในห้องแขก ต้องแต่งตัวอย่างไร ทำความสะอาดต้องทำอย่างไร ขยะต้องแยก ขยะติดเชื้อใส่ถุงแดงและให้บริษัทรับกำจัดขยะติดเชื้อมารับ

ปรินทร์ กล่าวต่อไปว่า ASQ ไม่ใช่ใครอยากจะทำก็ทำได้ เพราะต้องมีกฏเกณฑ์ อาทิ พนักงานทุกคนที่เข้ามาในพื้นที่ต้องลงทะเบียน ตรวจอุณหภูมิก่อนเข้า และก่อนออก พนักงานต้องได้รับการสอนการใส่ PPE ที่ถูกต้อง การถอด PPE ที่ถูกต้อง การออกแบบว่าพนักงานที่พบลูกค้าลักษณะนี้ควรแต่งตัวอย่างไร เช่น ต้องใส่ถุงมือ 2 ชั้นหากต้องทำความสะอาดห้องพัก นอกจากนี้ ต้องจัดเตรียมอุปกรณ์มี Face Shield หน้ากากอนามัย มีทุกอย่างที่ทำให้โรงแรมกลายเป็น ASQ

“ไม่ใช่แค่แขกปลอดภัย แต่พนักงานต้องปลอดภัย และชุมชนรอบข้างปลอดภัย การปล่อยน้ำเสียต้องมีบ่อพักน้ำเสีย 3 บ่อ ใส่คลอรีนอัตราส่วนที่เหมาะสม ซึ่งระบบนี้ไม่ใช่แค่โรงแรม หรือ โรงพยาบาลคิดเท่านั้น แต่กระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงกลาโหม ก็ต้องเข้ามาดู โรงแรมต้องมีทางออก 2 ทาง ต้องมีกล้องวงจรปิดทุกส่วน 24 ชั่วโมง ข้อกำหนดถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปรับโรงแรมให้เป็นสถานที่กักกันของรัฐ โดยทุกโรงแรมที่อยู่ในระบบ ASQ ต้องมีมาตรฐานนี้”

ทั้งนี้ ในส่วนของชุมชนรอบข้าง ซึ่งในช่วงแรกอาจจะยังไม่เข้าใจ แม้แต่พนักงานโรงแรมเองก็ยังไม่เข้าใจ เพราะในสมัยก่อนที่โควิด-19 ระบาดหนัก ทุกคนต่างหวาดกลัว จึงต้องมีการพูดคุยและอธิบายให้ทุกภาคส่วนมีความมั่นใจ

“การปรับตัวไม่ได้ทำเพื่อค้ากำไร แต่ทำเพื่อให้โรงแรมอยู่ได้ ไม่ต้องจ้างพนักงานออก รวมถึงธุรกิจอื่นๆ อาทิ บริษัทซัพพลายเออร์อาหาร ร้านซักรีด ร้านค้ารายย่อยอยู่ได้ ไม่ใช่แพกเกจที่สร้างกำไร แต่ทำให้ธุรกิจอยู่ได้ โดยไม่ต้องปลดคน และนั้นเป็นสาเหตุที่โรงแรมเริ่มต้น ทำให้รายได้จากเดิม 100% ก็กลับมาราว 30-40% โดยแพกเกจราคาเริ่มต้นที่ 63,000 บาท 15 คืน 16 วัน รวมอาหารทุกมื้อ”

ทั้งนี้ แนวโน้มทิศทางในอนาคต “ปรินทร์” คาดว่า ASQ จะมีต่อไปอีกระยะหนึ่ง ไตรมาส 1 หรืออาจจะยาวไปจนถึง ไตรมาส 2 ในปีหน้า และยังคงต้องรักษามาตรฐานการบริหารจัดการ ดูแลความปลอดภัยที่เข้มข้น แต่ปัจจัยหลักยังคงเป็นวัคซีน ขณะเดียวกัน การที่ประเทศเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวจีนเข้ามา แน่นอนว่าจะช่วยฟื้นรายได้ให้ดีขึ้น เพราะ ทุกคนเข้ามาต้องกักตัว ASQ เป็นธุรกิจครบวงจร มีการสั่งอาหาร ใช้จ่าย ทุกอย่างจะกลับมา อาจจะไม่ได้หมุนฟันเฟือง 100% แต่ทำให้เริ่มหมุน อาจจะช้าหน่อย แต่หากไม่ขยับ ไม่ทำอะไร จะไม่มีวันกลับมา และจะเห็นภาคธุรกิจปิดตัวลงไปอีก

ขณะเดียวกัน จากประเด็นที่มีบุคลากรติดเชื้อใน ASQ นั้น ปรินทร์ กล่าวว่า ทางชมรม ASQ Thailand Club ได้มีการพูดคุย และอยู่ระหว่างรอฟังจากกระทรวงสาธารณสุขว่าช่องว่างอยู่ตรงไหน ปัญหาเกิดจากอะไร จุดไหน และต้องมีนโยบายและแนวทางในการป้องกันอย่างไร ซึ่งขณะนี้ ทุกคนก็เตรียมพร้อม และยังคงมั่นใจในความปลอดภัย เพราะระบบ ASQ หากทำอย่างถูกต้อง โอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงน้อย ดังนั้น จึงต้องพิจารณา บริหารจัดการ และอุดช่องโหว่ต่อไป

ปัจจุบัน ชมรม ASQ Thailand Club มีสมาชิกทั้งหมด 115 แห่ง ทั้งในกทม. และปริมณฑล อีก 1 แห่งจากภูเก็ต และจะมีเพิ่มอีก 5 แห่ง จากพัทยา รวมมากกว่า 15,000 ห้อง ตั้งแต่ 3-5 ดาว ช่วงราคาตั้งแต่ 27,000-220,000 บาท สัดส่วนคนไทยที่เข้ามากักตัวใน ASQ ราว 10% ที่เหลือเป็นต่างชาติ ทั้งนี้ การเข้าอยู่ในชมรมถือว่ามีแนวทางควบคุมในการปฏิบัติ ให้สมาชิกสามารถติดตามความเคลื่อนไหวและอัพเดทข้อมูลเพื่อให้มีการบริหารจัดการที่ถูกต้อง

160765894791