ท่องเที่ยว 'เชียงใหม่-เชียงราย' ชะงัก พิษโควิดฉุดเชื่อมั่นเดินทาง ยอดจองใหม่วูบ30%

ท่องเที่ยว 'เชียงใหม่-เชียงราย' ชะงัก พิษโควิดฉุดเชื่อมั่นเดินทาง ยอดจองใหม่วูบ30%

ท่องเที่ยว “เชียงใหม่-เชียงราย”ชะงักยาว 2 สัปดาห์ เหตุผู้ติดเชื้อใหม่ลักลอบข้ามแดนไทย-เมียนมาฉุดความเชื่อมั่นเดินทาง ทั้งกลุ่มครอบครัว-สูงวัย-กรุ๊ปองค์กร

“สมาคมโรงแรมไทยภาคเหนือ”เผยยอดจองใหม่ระหว่างสัปดาห์นี้หายทันที 20-30% อัตราเข้าพักโรงแรม “เชียงใหม่-เชียงราย” เดือน ธ.ค. ลดเหลือ 50-60% ด้าน ซีอีโอ “ไทยแอร์เอเชีย” ชี้ยอดผู้โดยสารปลายปียังคึกคัก ระบุอัตราการขนส่งเดือน ธ.ค.เส้นทางยอดนิยมพุ่ง 80-85%

จากกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในพื้นที่ภาคเหนือเมื่อปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมาซึ่งมีการลักลอบข้ามแดนช่องทางธรรมชาติจากฝั่งประเทศเมียนมา ส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวในภาคเหนือซึ่งกำลังฟื้นตัวดีขึ้นหลังเผชิญวิกฤติโควิดตั้งแต่ต้นปี 2563 ได้ปัจจัยหนุนจากบรรยากาศการท่องเที่ยวเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน นักท่องเที่ยวไทยนิยมเดินทางไปสัมผัสอากาศหนาวเย็น แต่ยอดจองที่พักโรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย กลับต้องสะดุดยาว 2 สัปดาห์ เพราะนักท่องเที่ยวกังวลว่าอาจเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดรอบ 2 ในประเทศ

นางละเอียด บุ้งศรีทอง นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคเหนือ (ตอนบน) เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการเดินทางมาเชียงใหม่และเชียงรายของนักท่องเที่ยวไทยช่วงเดือน ธ.ค.นี้ เดิมสมาคมฯ คาดการณ์ว่าช่วงหยุดยาววันรัฐธรรมนูญตั้งแต่วันที่ 10-13 ธ.ค. โรงแรมในเชียงใหม่และเชียงรายจะมีอัตราเข้าพักประมาณ 80% แต่นักท่องเที่ยวกังวลจนไม่มียอดจองห้องพักใหม่เข้ามาเติมระหว่างสัปดาห์นี้ ซึ่งปกติจะมีเข้ามา 20-30% ทำให้อัตราเข้าพักในช่วงหยุดยาวนี้เหลือ 50-60%

“ยอดยกเลิกการจองห้องพักในเชียงใหม่ พบว่ามียอดยกเลิกเพียง 3% เท่านั้น แต่การจองเพิ่มระหว่างสัปดาห์ไม่มีมาเลย เพราะคนไทยยังไม่หายตระหนก ทำให้กระแสการจองห้องพักแผ่วลงไปทันที ส่งผลให้ตลอดเดือน ธ.ค.นี้ เดิมคาดว่าจะมีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 70-80% น่าจะหายไป 20-30% เหลืออัตราเข้าพักเฉลี่ยตลอดเดือนนี้ 50-60%”

แม้อัตราเข้าพักเฉลี่ยดังกล่าวจะดีกว่าช่วงหลังเจอวิกฤติโควิดใหม่ๆ แต่ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุนตามที่ผู้ประกอบการโรงแรมตั้งเป้าหมายในช่วงไฮซีซันที่กระแสการเข้าพักดีตั้งแต่เดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ด้วยบรรยากาศท่องเที่ยวและอากาศดี โรงแรมต่างออกโปรโมชั่นแรงๆ ไปจนถึงสิ้นปีเพื่อเรียกลูกค้า กลายเป็นว่ากรณีนี้ทำให้ภาคการท่องเที่ยวในเชียงใหม่และเชียงรายชะงักไป โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว กลุ่มผู้สูงวัย และกลุ่มองค์กรเดินทางเป็นหมู่คณะที่ขอชะลอการเดินทางจนกว่าจะมั่นใจในสถานการณ์

แนะ ททท.ใช้แคมเปญแรงฟื้นเชื่อมั่น

ทั้งนี้สมาคมฯ ได้หารือกับนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ว่านอกเหนือจากการสร้างความเชื่อมั่นด้านมาตรฐานสุขอนามัย ท่องเที่ยวแบบการ์ดไม่ตกแล้ว ต้องการให้ ททท.ช่วยส่งเสริมการตลาดด้วยการออกแคมเปญแรง ระยะสั้นช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนสิ้นปี เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น หนุนอัตราเข้าพักดีขึ้นให้กลับมาอยู่ที่ 70-80% พร้อมดึงอินฟลูเอนเซอร์มาออกทริปที่เชียงใหม่และเชียงราย และสื่อสารข้อมูลให้นักท่องเที่ยวไทยรับทราบว่าไม่มีการล็อคดาวน์ ไม่มีการแพร่ระบาด ผู้ติดเชื้ออยู่ในสถานที่กักกันตัวเพื่อควบคุมโรคแล้ว และไม่ได้เป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์แต่อย่างใด

“น่าเสียดายที่ยอดจองโรงแรมเชียงใหม่และเชียงรายมาชะงักช่วงเดือนนี้ เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาภาคเหนือ อย่างไรก็ตามยังได้ตลาดไทยเที่ยวนอกซึ่งแต่ละปีมีจำนวนคนไทยเที่ยวต่างประเทศ 12 ล้านคน มาช่วยเติมเต็มอัตราเข้าพักในช่วงนี้” นางละเอียดกล่าว

นักท่องเที่ยวปรับแผนเดินทาง 

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ในช่วงหยุดยาววันรัฐธรรมนูญนี้ มีปัจจัยลบที่ส่งผลให้คนไทยเกิดความลังเลในการเดินทางท่องเที่ยว ได้แก่ 1.การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของเชื้อโควิด-19 จากคนไทยที่ลักลอบกลับเข้าประเทศไทยผ่านช่องทางธรรมชาติในอำเภอแม่สาย จ.เชียงราย ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวโดยเฉพาะใน จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากนักท่องเที่ยวเริ่มวิตกกังวลและไม่เชื่อมั่นกับสถานการณ์การกลับมาแพร่ระบาดภายในประเทศ

โดยกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อข่าว อาทิ นักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มประชุมสัมมนา เริ่มทยอยยกเลิกการจองห้องพัก ยกเลิกการจัดงานสัมมนา และอีเวนท์ต่างๆ ในพื้นที่ และนักท่องเที่ยวบางส่วนอาจมีการปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางในช่วงวันหยุดด้วยการหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด หันมาเดินทางระยะใกล้ และชะลอการเดินทางระยะไกลไปในช่วงเทศกาลปีใหม่แทน ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของภาคเหนือชะลอตัวลง

แหล่งเที่ยวยอดนิยมกระจุกตัว

ผู้ว่าการ ททท. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในวันหยุดยาวนี้ ส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่หลัก ได้แก่ ชลบุรี กรุงเทพฯ กาญจนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ เหมือนเช่นวันหยุดยาวเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่เมืองรองอย่างสุพรรณบุรีซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายทั้งอุทยานแห่งชาติ เขื่อน ศาสนสถาน ตลาดร้อยปี และอื่นๆ เหมาะกับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม เริ่มเข้ามาติด 1 ใน 10 จังหวัดยอดนิยมในช่วงวันหยุดนี้แทนที่นครศรีธรรมราชซึ่งกำลังประสบปัญหาน้ำท่วม ไม่เอื้อให้มีการเดินทางเข้าพื้นที่ขณะนี้

อุทยานแห่งชาติจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติในอันดับต้นๆ ที่คนไทยมักนิยมไปท่องเที่ยวโดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาว จากข้อมูลการเข้าชมอุทยานแห่งชาติและวนอุทยานแห่งชาติในช่วงวันหยุดพิเศษเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา พบว่ามีคนไทยเข้าชมอุทยานแห่งชาติและวนอุทยานแห่งชาติมากกว่า 4 แสนคน มากกว่าช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ประมาณ 2.4 เท่า

โดยอุทยานแห่งชาติที่คนไทยนิยมไปมากที่สุด ส่วนใหญ่มักเป็นภูเขาและน้ำตกซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวน้อยกว่าอุทยานแห่งชาติทางทะเล อันดับ 1 คือเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา จำนวน 4.35 หมื่นคน, อันดับ 2 ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ 4.02 หมื่นคน, อันดับ 3 เขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด จ.ระยอง 1.82 หมื่นคน, อันดับ 4 ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย 1.68 หมื่นคน และอันดับ 5 ภูชี้ฟ้า จ.เชียงราย 1.37 หมื่นคน

เข้มมาตรการสุขอนามัย

ด้านนายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า ปัจจุบันสายการบินแอร์เอเชียยังให้ความสำคัญสูงสุดกับมาตรการด้านสุขอนามัยเเละความปลอดภัยเพื่อป้องกันการเเพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเต็มที่ โดยเน้นการทำงานที่เข้มข้นร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และท่าอากาศยานทั่วประเทศตามมาตรฐานที่กำหนด

ช่วงเดือน ธ.ค.ซึ่งมีช่วงหยุดยาวประจำปีที่มีการเดินทางสูง เเละเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการท่องเที่ยวในภูมิภาค โดยปีนี้แอร์เอเชียได้เพิ่มการให้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เสริมจากท่าอากาศยานดอนเมืองในเส้นทางยอดนิยม จากกรุงเทพฯสู่เชียงใหม่ น่าน ภูเก็ต หาดใหญ่ เเละนครศรีธรรมราช ทำให้เส้นทางเหล่านี้มีความถี่เที่ยวบินต่อวันสูงมาก

โดยจากสถิติพบว่ามียอดการสำรองที่นั่งล่วงหน้าในอัตราน่าพอใจ เเละคาดการณ์ว่าเฉพาะเดือน ธ.ค.นี้จะมียอดผู้โดยสารเฉลี่ยสูงถึง 80-85% โดยเฉพาะในเส้นทางยอดนิยมและเส้นทางข้ามภาคต่างๆ เนื่องจากยังไม่มีการให้บริการเส้นทางระหว่างประเทศ ทำให้คนเลือกที่จะเดินทางภายในประเทศ ซึ่งเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม

“ในฐานะผู้ให้บริการสายการบินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการท่องเที่ยว เราเดินหน้าเพิ่มความถี่เที่ยวบินเต็มที่ในทุกเส้นทาง โดยมีปริมาณที่นั่งภายในประเทศที่ให้บริการกลับมาครบ 100% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เเละเรายังยืนยันในมาตรการด้านสุขอนามัยอย่างดีที่สุด เพื่อผู้โดยสารเเละพนักงานทุกคน” ซีอีโอไทยแอร์เอเชียกล่าว