นายกฯประชุม'ACMECS'รับรองปฏิญญาพนมเปญเพื่อฟื้นจาก'โควิด'

นายกฯประชุม'ACMECS'รับรองปฏิญญาพนมเปญเพื่อฟื้นจาก'โควิด'

"นายกฯ" ร่วมประชุม "ACMECS" ติดตามแผนแม่บท ตั้งกองทุนพัฒนา รับรอง "ปฏิญญาพนมเปญ" ฟื้นเศรษฐกิจ หลัง "โควิด" พร้อมยกระดับความร่วมมือสาธารณสุข เผย "ไทย" พร้อมให้ คนในภูมิภาคเข้าถึง "วัคซีนโควิด" อย่างเท่าเทียม

ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมเข้าร่วมการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดีเจ้าพระยาแม่โขง(Ayeyawady – Chao Phraya – Mekong Economic Cooperation Strategy: ACMECS ) ครั้งที่ 9 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ร่วมกับผู้นำประเทศสมาชิกอีก 4 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา, สปป. ลาว, เมียนมา, เวียดนาม และเลขาธิการอาเซียน โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญการประชุมว่า

การประชุม ACMECS ครั้งที่ 9 เป็นไปตามวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนความคืบหน้าการดำเนินการภายใต้ 3 สาขาหลักของแผนแม่บท ACMECS ระยะ 5 ปี ได้แก่ 1.การเสริมสร้างความเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ (Seamless Connectivity) 2.การสอดประสานด้านเศรษฐกิจ (Synchronized ACMECS Economies) และ 3.การพัฒนาภูมิภาคในลักษณะยั่งยืนและมีนวัตกรรม (Smart and Sustainable ACMECS)

นายอนุชา กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีการติดตามความคืบหน้าของการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา ACMECS และการมีปฏิสัมพันธ์กับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ซึ่งหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากลุ่มแรก ได้แก่ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และออสเตรเลีย และในปีนี้ นิวซีแลนด์และอิสราเอลก็จะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากลุ่มที่สอง

ผู้นำสมาชิก ACMECS ยังเห็นพ้องกับหลักการใหม่ที่ไทยเสนอ เรื่องอนุภูมิภาคที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ให้เป็นอีกหนึ่งสาขาความร่วมมือภายใต้แผนแม่บท ACMECS เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงภาพลักษณ์ของอนุภูมิภาค และส่งเสริมให้ภูมิภาคนี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และเต็มไปด้วยโอกาสที่หุ้นส่วนภายนอกจะเข้ามาร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้รับรองปฏิญญาพนมเปญซึ่งให้ความสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมยุคหลังโควิด-19 เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับวิกฤติในอนาคตและความท้าทายรูปแบบใหม่ต่าง การส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุข และการบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงเน้นย้ำการเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

160748685477

นายอนุชา กล่าวว่า ในโอกาสนี้ นายกฯ ได้เสนอ 3 ประเด็น ดังนี้ 1. “การพัฒนาความเชื่อมโยงในทุกมิติทั้งด้าน hardware software และ digital ที่มีความจำเป็นต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม เป็นการสร้างความเข้มแข็งจากภายในในระยะยาว  โดยนายกฯ เน้นย้ำการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนข้ามพรมแดน การเร่งปรับปรุงกฎระเบียบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์สำหรับ Micro SMEs เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้ประกอบการ สร้างงานสร้างรายได้ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดช่องว่างด้านการพัฒนาระหว่างกัน

สำหรับการขับเคลื่อนแผนแม่บท ACMECS ในระยะต่อไป ต้องยกระดับความร่วมมือด้านสาธารณสุขให้สูง และยั่งยืนมากขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งที่ประชุมว่า ไทยได้ลงนามกับบริษัทแอสทราเซเนกาเพื่อจัดหาวัคซีนต้านโควิด-19 คาดว่าจะได้รับอนุญาตให้ใช้และผลิตได้ในช่วงกลางปี 2564 และไทยพร้อมสนับสนุนให้ยาและวัคซีนดังกล่าวเป็นสินค้าสาธารณะเพื่อให้ประชาชนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ในราคาที่สมเหตุสมผล

2.“การจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา ACMECS” เพื่อเป็นกลไกในการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม และตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของอนุภูมิภาค โดยขอความร่วมมือให้แต่ละประเทศเร่งดำเนินกระบวนการภายในให้แล้วเสร็จ และยืนยันคำมั่นที่จะสนับสนุนเงินจำนวน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่กองทุน เพื่อใช้ขับเคลื่อนโครงการที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและต่ออนุภูมิภาค นอกจากนี้ ไทยยังส่งเสริมการจัดตั้งสำนักเลขาธิการ ACMECS เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล จัดทำยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนโครงการ และประสานการทำงานร่วมกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ

3.“การจัดตั้งสำนักเลขาธิการ ACMECS” ต้องมีกลไกกลางเพื่อทำหน้าที่ผู้ประสานงานหลัก ทั้งในกลุ่ม ACMECS เอง และระหว่าง ACMECS กับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ทั้งนี้ นายกฯ เชื่อว่าการประชุมครั้งนี้ จะเป็นการส่งสัญญาณสำคัญให้ประชาคมโลกได้รับทราบว่า ในวันที่โลกเผชิญกับความท้าทายที่ยากจะควบคุม ACMECS พร้อมที่จะผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียว เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนความร่วมมืออย่างแข็งขัน มีบทบาทที่สร้างสรรค์  และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบ

ทั้งนี้ ในการปิดประชุม นายกฯ แห่งราชอาณาจักรกัมพูชาได้ส่งมอบตำแหน่งประธานให้ นายกรัฐมนตรี สปป. ลาวในฐานะประธานวาระต่อไป (วาระปี 2564-2566)