วัฒนธรรมที่ทำให้ AI ล้มเหลว

วัฒนธรรมที่ทำให้ AI ล้มเหลว

ปัจจุบันประเทศไทยยังใช้ประโยชน์จาก AI น้อยมาก และการใช้เอไอจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เมื่อเกิดวัฒนธรรมปฏิเสธคำถาม หรือการทำงานกันแบบเชื่ออย่างเดียว

คนใหญ่คนโตบางคนพูดถึงเอไอ หรือ Artificial Intelligence ไปในทางที่แสดงความผิดหวังกับเอไอ บางคนก็พยายามชักชวนให้เห็นประโยชน์จากเอไอ เลยงงกันไปหมดว่าเอไอจะดีกับบ้านเมืองของเราหรือไม่ ที่หนักขึ้นไปอีกคือ บ้านเรายังใช้เอไอกันน้อยมาก

หากเมื่อเทียบกับจีนหรือเกาหลีที่ใช้ไปไกลแล้ว ถ้าเรายังอนุบาล ของเขาก็ไปปริญญาเอกแล้ว แต่กลับมีความพยายามกำกับดูแลเหมือนกับบ้านเมืองอื่นที่ก้าวไปไกลแล้ว ลูกยังใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็น แต่พ่อแม่ตั้งกติกาแล้วว่าเว็บนั้นไม่ให้ดู เฟซนี้ไม่ให้เขียน ขับรถยังไม่เป็นแต่เริ่มต้นก็ห้ามไม่ให้ไปที่นั่นที่นี่

การใช้เอไออย่างประสบความสำเร็จ ไม่แตกต่างกับที่เราเคยประสบความสำเร็จกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีมาแต่ดั้งเดิม คือคนต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นมานั้น ความสำเร็จในการนำของใหม่ไปใช้งานจึงจะปรากฏเป็นที่ประจักษ์ จะใช้รถให้ปลอดภัย ต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการขับรถให้แตกต่างไปจากการขี่ควาย ที่นึกอยากจะหยุดก็หยุด อยากจะเลี้ยวก็เลี้ยวโดยไม่ดูซ้ายขวาหน้าหลัง เพราะรถยนต์กับควายมีอัตราเร่งไม่เหมือนกัน ใครที่ใช้วัฒนธรรมขี่ควายมาขับรถตามถนนมีหวังเจออุบัติเหตุได้ทุกเวลาทุกสถานที่

เอไอจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในวัฒนธรรมปฏิเสธคำถาม คือมีการทำงานกันแบบเชื่ออย่างเดียว ห้ามสงสัย ห้ามถาม เมื่อไม่มีความสงสัยก็ไม่มีคำถามใดๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เอไอ เอไอช่วยเราตอบคำถามต่างๆ ที่อาจใช้เวลานานนับปีในการหาคำตอบของคำถามนั้นด้วยวิธีการดั้งเดิม ถ้าไม่รู้จักถาม เครื่องมือช่วยตอบคำถามก็ไร้ประโยชน์ในทันทีที่ได้มา

เอไอหมดฤทธิ์ในการทำงานแบบไม่มีวัฒนธรรม คืออยากทำอะไรก็ทำตามที่อยากทำ โดยอธิบายหลักการ อธิบายที่มาที่ไปของการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรไม่ได้ ชอบก็ทำอย่างหนึ่ง ไม่ชอบก็ทำอีกอย่างหนึ่ง กติกาสำหรับคนไม่มีบอกว่าเกิดอะไรขึ้น จะทำอย่างไร ไม่บอกไม่อธิบายว่าทำไมต้องทำแบบนั้นแบบนี้ ไร้ตรรกะในการทำงาน จนคนร่วมงานต้องเดาใจกันอย่างเดียว คือทำงานกันไปแบบไม่ใช่ปัญญา เมื่อปัญญาจริงไม่ได้ใช้ ปัญญาประดิษฐ์ย่อมยิ่งไม่มีบทบาทอะไรเลย

ในวัฒนธรรมอนุรักษนิยมสุดขั้ว คือเคยทำอะไรอย่างไร ก็ต้องทำอย่างนั้นกันต่อไป จะปรับปรุงอะไรสักอย่างก็สร้างสารพัดอุปสรรคมาขัดขวาง จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องลงทุนลงแรงในเรื่องเอไอ เพราะไม่ว่าเอไอจะทำงานได้ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้องอย่างไร ท่านก็ไม่ใส่ใจ ตราบเท่าที่เอไอยังให้คำตอบที่ไม่ตรงใจท่าน เอไอก็ผิดในสายตาของท่านเสมอ เมื่อท่านคิดว่าท่านคิดอะไรแล้วถูกต้องเสมอ ปัญญาประดิษฐ์ก็ไร้ความจำเป็น

หากมีสรณะในเรื่องที่เกินเลยความเป็นจริงอย่างเหนี่ยวแน่น เอไอคงสร้างความผิดหวัง มากกว่าการยอมรับ หากคิดว่าเอไอเป็นอะไรสักอย่าง ผิดได้ถูกได้ เอไอจะใช้งานง่ายกว่าเยอะ เมื่อเทียบกับความเชื่อว่าเอไอเป็นสิ่งกายสิทธิ์ ทำได้สารพัด เชื่อแล้วก็ไปตั้งความหวังต่างๆ นานา เหมือนกับเชื่อว่าต้นไม้เป็นสิ่งกายสิทธิ์ แล้วต่างคนต่างไปขอหวย หวังร่ำรวยจากสิ่งกายสิทธิ์นั้นๆ

ผู้นำต้องไม่ทำให้เอไอกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์จากต่างดาวที่ทำอะไรได้สารพัด คือต้องเรียนรู้ความสามารถที่เอไอทำได้จริงๆ แทนที่จะมโนไปเองตามคำบอกกล่าว เมื่อใช้แล้วไม่วิเศษเหมือนที่มโนไว้ เอไอก็เลยกลายเป็นสถานที่ทัวร์ลง ต่างคนต่างด่าว่าใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ดี

คงพอจะทราบกันว่าเอไอเก่งขึ้นตามการเรียนรู้ แปลว่ายิ่งมีตัวอย่างข้อมูลให้เรียนรู้มากขึ้นเท่าใด เอไอก็ค่อยๆ เก่งขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น แต่เอไออาจผิดพลาดได้ง่ายๆ หากเรียนรู้จากข้อมูลตัวอย่างที่มีอยู่อย่างจำกัด หรือมีการปลอมแปลงข้อมูลที่นำมาใช้ฝึกเอไอ ดังนั้น วัฒนธรรมการทำงานแบบไร้ข้อมูล ปลอมข้อมูล จึงเป็นศัตรูตัวฉกาจของเอไอ ต่อให้ไปเอาเอไอที่มีอัลกอริธึมที่ดีที่สุดในโลกมาใช้งาน แต่ฝึกเอไอนั้นด้วยข้อมูลปลอมๆ เอไอชั้นดีนั้นจะมีสภาพไม่แตกจากบัณฑิตเมายาอี

แค่ดูวัฒนธรรมก็บอกได้แล้วว่าที่ไหนเอไอจะไปได้ดี ไม่ต้องรอจนกระทั่งผู้นำมาปล่อยไก่เอไอให้เห็น