ธปท.หวั่นตกงานพุ่ง 3 ล้านคน 'โควิด'พ่นพิษธุรกิจเลิกจ้าง

ธปท.หวั่นตกงานพุ่ง 3 ล้านคน 'โควิด'พ่นพิษธุรกิจเลิกจ้าง

ผู้ว่าแบงก์ชาติชี้พิษโควิดยอดตกงานพุ่ง 3 ล้านคน เหตุท่องเที่ยวกระทบหนัก ด้านคลังรับลูกนายกฯเตรียมเปิด“คนละครึ่ง”ระยะ 2 หนุนกำลังซื้อต้นปี 2564 หลังเฟสแรกเสียงตอบรับดี เงินสะพัดนับหมื่นล้านบาท จับตาสภาพัฒน์ประกาศจีดีพีติดลบน้อยลง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในการสัมมนา“ภาคธุรกิจไทยในวิถียั่งยืน” จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ วานนี้ (11พ.ย.) ว่า โครงการคนละครึ่งว่าเป็นโครงการที่ประชาชนให้ความสนใจมาก รัฐบาลกำลังจะพิจารณาขยายระยะะเวลามาตรการออกไป

“วันนี้คนลงทะเบียนกันมากมาพร้อมๆกันระบบก็ล่ม AI ตายไปเลย ก็มาด่ารัฐบาล ก็มาลงพร้อมกันหมดแต่ไม่เป็นไร คนสนใจมากก็ต่อออกไปได้”

นอกจากนี้การระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดผลกระทบถ้วนหน้ากับเศรษฐกิจและการลงทุน แต่ในช่วงที่เกิดวิกฤติ ต้องถือว่ามีโอกาสอีกมหาศาลสำหรับไทย ซึ่งต้องใช้จุดแข็งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ และการมีคุณสมบัติรักงานบริการ หรือ Service mind ของคนให้เป็นประโยชน์ โดยที่สำคัญต้องพยายามสร้างเสถีรยภาพให้เกิดขึ้นเพื่อให้นักลงทุนต่างชาติมั่นใจและเข้ามาลงทุน

ทั้งนี้ปัญหาทางเศรษฐกิจของไทยมีข้อจำกัดงบประมาณและข้อจำกัดโครงสร้างเศรษฐกิจ บางเรื่องที่เกิดขึ้นมานาน ซึ่งโครงสร้างเศรษฐกิจไทยพึ่งการส่งออกและการท่องเที่ยวสูง จึงต้องปรับโครงสร้างใหม่ โดยดูว่าจุดแข็งคืออะไรและหาแนวทางลดผลกระทบจากภายนอกประเทศ ซึ่งภาครัฐสนับสนุนภาคเอกชนให้ร่วมมือปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ

รวมทั้งความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนจะสนับสนุน 11 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่นการพัฒนาเครื่องมือแพทย์ รถยนต์สมัยใหม่ การบินและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งได้สั่งการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)ทำรายละเอียดการชักจูงการลงทุนมากขึ้น

“การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ต้องใช้หลักการที่ทำด้วยกันคือหลักการการสร้างความเข้มแข็งด้วยเศรษฐกิจพอเพียง วันนี้คนไทยยังมีความยากจนมากดูความแตกต่างรายได้แต่ละจังหวัดก็มาก จังหวัดที่ยากจนก็มีรายได้น้อยกมาก จะทำอย่างไรให้แก้ปัญหาแบบนี้ก็ต้องสร้างความร่วมมือกัน ผมไม่ได้อยากได้อำนาจแต่ผมอยากได้ความร่วมมือจากทุกฝ่าย”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน ดินเนอร์ทอล์ค “Sharing our common future” ร่วมแรง เปลี่ยนแปลง แบ่งปัน จัดโดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วานนี้โดยคาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะติดลบ 8% แต่ผลกระทบจากโควิดขณะนี้ หากเทียบกับวิกฤติในอดีตต่างกันมาก เพราะตอนนี้กระทบตรงกล่องดวงใจคือภาคท่องเที่ยวที่มีการจ้างงานถึง 20% ทำให้ดูว่าปัญหากระทบหนัก แถมโดนซ้ำด้วยหนี้ครัวเรือนที่สูงก่อนโควิด วันนี้สูงไปอีกที่ 84% จาก 80%ก่อนหน้า

ขณะที่ยอดตกงานแม้พูดถึง 7-8 แสนคน แต่ยังมีอีกมากที่ไม่สะท้อนข้อมูลที่แท้จริง เพราะมีคนที่ทำงานน้อยกว่า 20ชั่วโมงต่อสัปดาห์อีกจำนวนมาก หากรวมจำนวนนี้เข้าไป 2 ล้านคน 2 กลุ่มนี้ แรงงานได้รับผลกระทบถึง 3 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ภายใต้ภารหนี้สินที่เยอะ

ด้านนายอาคม​ เติมพิทยาไพสิฐ​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจวันนี้ เริ่มดีขึ้น​ โดยดัชนีเศรษฐกิจชี้ไปในทิศทางที่ดีขึ้น​ เช่น​ ราคายางพารา​ ส่วนข้าวต้องรอดู​ ฉะนั้นกำลังซื้อภาคเกษตรและชนบทดีขึ้นแน่ๆ​ ซึ่งจะต้องติดตามยอดขายรถปิกอัพในระยะต่อไป

เหตุที่เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นมาจากการใช้จ่ายของรัฐบาลผ่านมาตรการต่างๆ​ อย่างไรก็ตามการเติมเงินจากภาครัฐอย่างเดียวนั้น​ ไม่เพียงพอ​ จึงออกมาตรการให้ประชาชนออกมาใช้จ่ายด้วย​ จึงเกิดมาตรการต่างๆ​ อาทิ​ ชิมช้อปใช้​ เราเที่ยวด้วยกัน​ และคนละครึ่ง

นายอาคม กล่าวว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเปิดโครงการ “คนละครึ่ง” ระยะที่ 2 เพื่อกระตุ้นกำลังการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงต้นปี 2564 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน หลังจากมาตรการในระยะแรกได้รับการตอบรับจากประชาชนมีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิครบ 10 ล้านคน หลังจากที่เปิดให้ลงทะเบียนรอบเก็บตกเพิ่มเติมเมื่อวานนี้อีก 2.3 ล้านคน

“เบื้องต้นจะโครงการคนละครึ่งเฟส 2 จะเริ่มต้นในปี 2564 ซึ่งเป็นการขยายเวลามาตรการออกไปจากเดิมสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ เพื่อหวังกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงปีใหม่ ส่วนจะมีการเพิ่มสิทธิมากกว่า 10 ล้านคนหรือเพิ่มวงเงินเพื่อนำไปใช้จ่ายมากกว่า 3,000 บาทหรือไม่ จะต้องขอไปดูในรายละเอียดอีกครั้ง เพราะเกี่ยวข้องกับงบประมาณที่ใช้ แต่ยืนยันว่ามีเม็ดเงินเงินเพียงพอแน่นอน และจะสรุปได้ภายในเดือนธ.ค.นี้”

สำหรับเม็ดเงินที่จะใช้ในโครงการคนละครึ่งเฟส 2 นั้น จะใช้เงินในส่วนพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูผลกระทบโควิด-19 จำนวน 400,000ล้านบาท ซึ่งขณะนี้เหลือวงเงินที่นำมาใช้จ่ายได้ประมาณ 200,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามจะต้องทำรายละเอียดเสนอสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) และคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้พิจารณารายละเอียดก่อน

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สำหรับคนที่ลงทะเบียนในเฟสแรก จะต้องใช้จ่ายเงินที่ได้รับจำนวน 3,000บาท ภายในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ ส่วนในระยะ 2 กระทรวงการคลังจะมีปุ่มหรือข้อความให้คนลงทะเบียนเฟสแรกยืนยันว่าจะเข้าร่วมมาตรการต่อหรือไม่ ซึ่งถ้าเข้าร่วมมาตรการต่อในปีหน้าก็จะได้รับเงินเพิ่มในส่วนของเฟส 2 ขณะที่ผู้ที่ลงทะเบียนคนละครึ่งในเฟส 2 นั้นจะไม่ได้รับเงิน 3,000 บาทในเฟสแรก แต่จะได้รับเงินตามสิทธิในเฟส 2 เท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับตั้งรัฐบาลเปิดให้ผู้ที่ลงทะเบียน คนละครึ่ง ที่รัฐบาลจะช่วยจ่าย 50% แต่ไม่เกินวันละ 150 บาท สูงสุดต่อคนไม่เกิน 3,000 บาท ใช้สิทธิตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค. ถึงวันที่ 10 พ.ย.2563 นั้น ปรากฎว่ามีเงินสะพัดในระบบแล้วกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังคาดว่า จะมีเงินหมุนเวียนตลอดโครงการ 6 หมื่นล้านบาท จะช่วยเพิ่มจีดีพีได้ราว 0.3%

จี้ธปท.คุมบาทเอื้อส่งออก

นายอาคม กล่าวอีกว่า ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพื่อให้ช่วยดูแลค่าเงินบาท เพื่อให้เอื้อต่อผู้ส่งออก โดยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งมองว่านโยบายการเงินและการคลังจะต้องทำงานสอดประสานกัน

“ที่ผ่านมาได้หารือกับผู้ว่าการแบงก์ชาติต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ค่าเงิน เป็นอุปสรรคต่อภาคการส่งออกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนก็มีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวตามทิศทางตลาด ซึ่งได้กำชับให้แบงก์ชาติดูแลแล้ว”

 สำหรับการขยายตัวของจีดีพีปี 2563 มีแนวโน้มหดตัวน้อยลงกว่าที่เคยคาดไว้ เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศเริ่มกลับมาปรับดีขึ้น บวกกับรัฐบาลเตรียมออกมาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการที่จะออกมาดูแลกำลังซื้อในประเทศเพื่อให้เกิดการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง

“การฟื้นตัวที่ดีสะท้อนได้จากไอเอ็มเอฟปรับคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้ดีขึ้น จาก -7.7% เหลือ -7.1% และกระทรวงการคลังเอง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังก็ปรับคาดการณ์จีดีพีปีนี้ดีขึ้นจาก -8.5% เหลือ -7.7% และคาดว่าสภาพัฒน์ฯที่จะรายงานตัวเลขในสัปดาห์หน้าจะปรับดีขึ้นด้วย”

อย่างไรก็ตามกำลังซื้อในประเทศตัวเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะเป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน 4 ตัว ทำงานได้ไม่ครบ ยังขาดเครื่องยนต์จากต่างประเทศในภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่กลับมา ที่ต้องอาศัยเครื่องมือภาครัฐเข้าไปช่วย

ส่วนสถานการณ์ปัจจุบันแม้การจัดเก็บภาษีมีโอกาสทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ เพราะมีการช่วยเหลือประชาชนผ่านมาตรการทางภาษีหลายมาตรการ แต่ยืนยันว่านโยบายการคลังในปี 2564 จะมีเพียงพอที่จะดูแลเศรษฐกิจแน่นอน โดยรายได้จากการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพกรปีหน้าตั้งเป้าไว้ 2.0853ล้านล้านบาท ยังยึดเป้าหมายเดิมไม่ปรับลด

“เราก็ได้เตรียมการกู้เงิน เผื่อไว้ในกรณีที่รายจ่ายงบประมาณสูงกว่ารายได้ที่จัดเก็บเอาไว้ด้วย โดยเฉพาะรายจ่ายด้านการช่วยเหลือภาคการเกษตรที่ต้องใช้เงินมาก ซึ่งภาครัฐช่วยเรื่องข้าวกับยางพาราไปบ้างแล้ว ยังต้องไปดูว่า จะใช้ในส่วนใดอีกบ้าง ตอนนี้ให้หน่วยงานที่ต้องการใช้เงินไปรวบรวมข้อมูล แล้วกลางปีหน้าราวๆ เดือนมิ.ย.ค่อยมาประเมินกันอีกครั้งว่า การจัดเก็บรายได้เป็นอย่างไร ถ้าต้องกู้เพิ่มต้องกู้วงเงินเท่าไรอีกครั้ง”

 ทุนไหลเข้าดันบาทแข็ง

ค่าเงินบาทปิดตลาดวานนี้แข็งค่าเล็กน้อยจากเปิดตลาด 30.29-30.30 บาทต่อดอลลาร์ มาที่ 30.27-30.29 บาทต่อดอลาร์ หลังมีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ต่อเนื่อง

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่าเงินบาทเคลื่อนไหวค่อนข้างแกว่งตัว แต่ยังเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบ โดยแนวโน้มมีโอกาสจะแข็งค่าได้ต่อ เนื่องจากช่วงนี้มีเงินไหลเข้าค่อนข้างมาทางฝั่งตลาดหุ้นไทย ประกอบกับตลาดยังรอดูสถานการณ์ช่วงเปลี่ยนผ่านประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ และจับตาดูวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่จะนำมาใช้ดูแลเรื่องโควิด-19

ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ แกว่งตัวในกรอบแคบๆปิดตลาดที่ 1,345.34 จุด เพิ่มขึ้น 4.10 จุด มูลค่าการซื้อขาย 117,152 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ติดต่อกันอีก 7,232 ล้านบาท รวม 3 วันซื้อสุทธิแล้วกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท และซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้อีก 3,557 ล้านบาท