อนาคตวัคซีนโควิด-19ใครได้ใช้ก่อน

อนาคตวัคซีนโควิด-19ใครได้ใช้ก่อน

ข่าวผลการทดลองวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ จุดประกายความหวังให้กับคนทั้งโลก เบื้องต้นวัดจากปฏิกิริยาจากตลาดหุ้น แต่คำถามที่จะตามมาคือใครจะได้ใช้วัคซีนก่อน ในราคาเท่าใด และจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ไม่มีใครถูกทิ้งไว้

เว็บไซต์เนชันแนลจีโอกราฟฟิกรายงานว่า โดยปกติการจะนำวัคซีนออกวางตลาดได้ต้องใช้เวลา 10-15 ปี เร็วสุดที่เคยทำได้คือวัคซีนคางทูมในทศวรรษ 60 ใช้เวลา 4 ปี วัคซีนแต่ละตัวก่อนได้รับอนุมัติต้องทดลองทางคลินิก 3 ระยะ จึงเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานาน

แต่เนื่องจากเป็นความจำเป็นเร่งด่วนท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) บริษัทพัฒนาวัคซีนบางรายอาจทดลองทางคลินิกขั้นต่างๆ ไปพร้อมๆ กัน

แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดเชื้อและภูมิแพ้แห่งชาติสหรัฐ เคยย้ำว่า คณะกรรมการตรวจสอบความปลอดภัยและข้อมูล ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ อาจยุติการทดลองได้เร็ว ถ้าผลเบื้องต้นจำนวนมากเป็นบวกมากกว่าลบ

สอดคล้องกับรายงานของเว็บไซต์บีบีซีที่ว่า โดยปกติวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อมักใช้เวลาในการพัฒนา ทดสอบ ส่งมอบ นานหลายปี ถึงขนาดนั้นก็ไม่อาจรับประกันได้ถึงความสำเร็จ นับถึงวันนี้โรคติดเชื้อในมนุษย์เพียงโรคเดียวที่ขจัดได้คือไข้ทรพิษ ที่ต้องใช้เวลาถึง 200 ปี ที่เหลือตั้งแต่โปลิโอ บาดทะยัก หัด คางทูม และวัณโรค มนุษย์ยังต้องเผชิญหน้าต่อไปแต่มีวัคซีนป้องกัน

สำหรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 กระบวนการที่เคยใช้เวลา 5-10 ปีถูกย่นย่อลงเหลือหลักหลายเดือน ในเวลาเดียวกันการผลิตก็ต้องเร่งมือ นักลงทุนและผู้ผลิตกล้าทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลลาร์ผลิตวัคซีนที่ได้ผล

ไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทคกล่าวว่า ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นชี้ วัคซีนของตนสามารถป้องกันผู้คนไม่ให้ติดเชื้อโควิด-19 ได้กว่า 90% บริษัทมีแผนยื่นขออนุมัติให้ใช้วัคซีนเป็นการฉุกเฉินภายในสิ้นเดือน พ.ย. ไฟเซอร์เชื่อว่า สามารถจัดหาวัคซีน 50 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้ และราว 1.3 พันล้านโดสภายในสิ้นปี 2564

ส่วนแอสตร้าเซนเนก้า บริษัทยาอังกฤษที่มีใบอนุญาตผลิตวัคซีนของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กำลังเพิ่มขีดความสามารถการผลิตระดับโลกเห็นชอบจัดหาวัคซีน 100 ล้านโดสสำหรับสหราชอาณาจักรประเทศเดียว และอาจถึง 2 พันล้านโดสสำหรับทั้งโลก หากพัฒนาวัคซีนสำเร็จ

สิ่งที่น่ากังวลขณะนี้คือรัฐบาลทั้งหลายทุ่มเดิมพันเพื่อให้ได้วัคซีน ด้วยการทำข้อตกลงกับหลายๆ บริษัทตั้งแต่ยังไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ เช่น รัฐบาลสหราชอาณาจักรลงนามข้อตกลงแบบไม่เปิดเผยปริมาณ ซื้อวัคซีนทางเลือก 6 ตัว

สหรัฐหวังว่าจะได้วัคซีน 300 ล้านโดสภายในเดือน ม.ค.64 จากโครงการอนุมัติวัคซีนแบบฟาสต์แทร็ก แต่ใช่ว่าทุกประเทศจะสามารถทำแบบสองประเทศนี้ได้

องค์กรแพทย์ไร้พรมแดน กล่าวว่า การทำข้อตกลงกับบริษัทยาล่วงหน้า เป็นแนวโน้มที่น่ากลัวว่าจะเกิดวัคซีนชาตินิยมโดยประเทศร่ำรวย

ขณะที่องค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) กำลังทำงานร่วมกับกลุ่มรับมือโรคระบาด “เซพี” (Cepi) และพันธมิตรวัคซีน “เกวี” (Gavi) เพื่อสร้างความเป็นธรรมด้านวัคซีน

นับถึงขณะนี้มีประเทศ/เขตเศรษฐกิจมั่งคั่งอย่างน้อย 94 แห่ง ลงนามร่วมโครงการวัคซีนโลก “โคแวกซ์” (Covax) ตั้งเป้าระดมทุน 2 พันล้านดอลลาร์ให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อช่วยซื้อและแจกจ่ายวัคซีนอย่างเป็นธรรมไปทั่วโลก โดยสหรัฐที่ประธานาธิบดีทรัมป์อยากออกจากดับเบิลยูเอชโอ ไม่ได้ร่วมในโคแวกซ์ด้วย

ประเทศที่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ต่างหวังว่าการระดมทรัพยากรร่วมกันแบบนี้ จะเป็นหลักประกันว่าประเทศรายได้ต่ำ 92 ประเทศในแอฟริกา เอเชีย และละตินอเมริกาจะได้วัคซีนโควิด-19 อย่างรวดเร็ว เป็นธรรม เข้าถึงได้เสมอกัน

โครงการนี้ช่วยหาทุนตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาวัคซีน ไปจนถึงสนับสนุนการผลิตในปริมาณมาก ผู้ร่วมโครงการต่างหวังว่าน่าจะได้วัคซีนอย่างน้อย 1 ตัว เพื่อส่งมอบได้อย่างปลอดภัยมีประสิทธิภาพ จำนวน 2 พันล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564

ราคาของวัคซีนเป็นอีกเรื่องที่ต้องพิจารณา บีบีซีรายงานว่า ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีน บริษัทที่ผลิต และจำนวนโดสที่สั่งซื้อ ตัวอย่างเช่น บริษัทยาโมเดิร์นนา รายงานว่า ขายวัคซีนของตนในราคาโดสละ 32-37 ดอลลาร์

แอสตร้าเซนเนก้า กล่าวว่า จะจัดหาวัคซีนราคาถูกโดสละไม่กี่ดอลลาร์ระหว่างการระบาด

สถาบันเซรัมอินเดีย (เอสเอสไอ) ผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่สุดของโลกในเชิงปริมาณ ได้รับการสนับสนุนจากเกวีและมูลนิธิบิลและเมอลินดา เกตส์ เป็นเงิน 150 ล้านดอลลาร์ ให้ผลิตและส่งมอบวัคซีนที่ทดลองแล้วว่าใช้ได้ผล ให้กับอินเดียและประเทศรายได้ต่ำถึงรายได้ปานกลาง ราคาไม่เกินโดสละ 3 ดอลลาร์

ส่วนใครจะได้ใช้วัคซีนเป็นรายแรกนั้น ไม่ใช่อำนาจการตัดสินใจของบริษัทผลิต เกวีีวางแผนว่า ประเทศที่ลงนามในโคแวกซ์ ไม่ว่าจะรายได้สูงหรือต่ำ จะได้รับวัคซีนมากเพียงพอสำหรับประชากร 3% ซึี่งพอครอบคลุมบุคลาการด้านสาธารณสุขและสังคมสงเคราะห์ เมื่อผลิตได้มากขึ้นจะเพิ่มเป็นครอบคลุมประชากร 20% ขั้นนี้ให้ความสำคัญกับกลุ่มเสี่ยงอายุ 65 ปีและมากกว่าก่อน หลังจากกลุ่ม 20% ได้วัคซีนหมดทุกคนแล้วจึงค่อยกระจายไปตามเกณฑ์อื่นๆ เช่น ตามระดับความเสี่ยงและภัยคุกคามเร่งด่วนจากโควิด-19ในประเทศนั้นๆ