ไขความลับ 'เห็ด' และเบต้ากลูแคน มีประโยชน์ต่อ 'สุขภาพ' ยังไง?

ไขความลับ 'เห็ด' และเบต้ากลูแคน มีประโยชน์ต่อ 'สุขภาพ' ยังไง?

รู้จัก "เห็ดทางการแพทย์" หรือเปล่า? ในแวดวงแพทย์แผนจีนและแผนตะวันออก เชื่อว่าสารสำคัญใน "เห็ด" ที่ชื่อว่า 'เบต้า กลูแคน' นั้นมีประโยชน์ต่อ "สุขภาพ" และอาจช่วยรักษาโรคร้ายบางโรคได้ด้วย

สายสุขภาพต้องรู้! โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ และ/หรือ ผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายอย่าง "มะเร็ง" อาจจะต้องการตัวช่วยอย่าง "เห็ด" ทางการแพทย์ ที่ได้รับการยอมรับในวงการแพทย์แผนจีนและแพทย์แผนตะวันออก ว่ามีสารสำคัญอย่าง "เบต้ากลูแคน" ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง และสามารถต่อสู้โรคร้ายให้หายได้เร็วขึ้น

ปัจจุบันพบว่ามีอาหารเสริมที่มีสารสกัดจาก เห็ด วางจำหน่ายตามท้องตลาดมากมาย หลายแบรนด์เคลมว่ามีสารสกัดจากเห็ดทางการแพทย์ มีสารเบต้ากลูแคนที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ทำเอาหลายคนอยากรู้ต่อว่าเจ้า 'เห็ดทางการแพทย์' นี่คือเห็ดชนิดไหน? และมีสรรพคุณทางยาอย่างไรบ้าง? กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ชวนมาหาคำตอบเรื่องนี้ไปด้วยกัน

  • รู้จัก "เห็ดทางการแพทย์"

ภก.รศ.ดร.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรของสหประชาชาติ และอาจารย์ประจำวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต  เคยอธิบายเรื่องนี้ในบทความวิชาการไว้ว่า เห็ดทางการแพทย์ (Medicinal Mushrooms) เป็นเห็ดที่ให้คุณค่าทางโภชนาการ มีสารอาหารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น เบต้ากลูแคน โพลีแซ็คคาไรด์ ไกลโคโปรตีน เลคติน และเทอร์พีนอยด์

ซึ่งสารสกัดที่ได้จากเห็ดทางการแพทย์เหล่านี้ เชื่อกันว่าให้ผลในการรักษาโรคได้หลายกลุ่มอาการ ได้แก่ หอบหืดที่เกิดจากภูมิแพ้ โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง การอักเสบต่างๆ ในร่างกาย โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคผนังหลอดเลือดแข็งตัว ระดับน้ำตาลในเลือดสูง การติดเชื้อ ระบบภูมิคุ้มกันทำงานบกพร่อง เป็นต้น

ปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์ นักเภสัชศาสตร์ นักกำหนดอาหาร และนักโภชนาการ ต่างสนใจศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเห็ดทางการแพทย์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำมาใช้ในผู้ป่วยที่มีระบบการทำงานของภูมิคุ้มกันผิดปกติ ยกตัวอย่างผลการศึกษาวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน วารสารเห็ดทางการแพทย์นานาชาติ (International Journal of Medicinal Mushroom) ระบุว่า เห็ดทางการแพทย์มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว เพื่อปรับสมดุลการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ได้ประสิทธิภาพ ช่วยต่อต้านเซลล์มะเร็ง เปรียบได้กับการ “ยกระดับภูมิคุ้มกัน” ให้กับร่างกาย

จากผลการศึกษาถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของ เห็ดทางการแพทย์ ที่ส่งผลต่อร่างกาย ทำให้เห็ดทางการแพทย์หลายชนิดถูกนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพและใช้เป็นตัวยาในการรักษาโรค

  • เห็ดทางการแพทย์ คือเห็ดชนิดไหน?

อาจารย์ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพ (สหรัฐอเมริกา) และเป็นที่ปรึกษาโภชนบำบัดที่โรงพยาบาลเทพธารินทร์ เคยให้ข้อมูลไว้ในบทความวิชาการชิ้นหนึ่ง ระบุว่า ในทางการแพทย์แผนตะวันออกมีการใช้ "เห็ด" เป็นยามานานหลายศตวรษ คุณสมบัติของเห็ดคือช่วยส่งเสริมของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เห็ดถูกจัดเป็นอาหารทางการแพทย์ 

โดยมีงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า เห็ดทางการแพทย์ มีฤทธิ์ในการสร้างภูมิต้านทาน ช่วยลดคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคหลอดเลือดตีบ ต้านมะเร็ง ต้านเชื้อไวรัส ต้านแบคทีเรีย ต้านพาราไชต์ ต้านการอักเสบ ป้องกันโรคตับ และป้องกันโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังช่วยลดผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยเคมีบำบัดและการฉายรังสีได้ มีเห็ดหลายชนิดที่แพทย์จีนใช้เป็นยาโป้วหรือยาบำรุงร่างกายมาอย่างยาวนานด้วย

สำหรับเห็ดที่ได้รับการวิเคราะห์คุณค่าของเห็ดทางการแพทย์ (Medicinal mushrooms) มีอยู่หลายสายพันธุ์ ได้แก่

1. เห็ดไมตาเกะ (Maitake หรือ Grifola frondosa)

เห็ดไมตาเกะ เป็นที่รู้จักกันว่มีคุณสมบัติในการป้องกันมะเร็ง มีสาร Grifolan ซึ่งเป็นสาร เบต้า-กลูแคน โพลีแซคคาไรด์ ซึ่งประกอบไปด้วยโมเลกุลของน้ำตาลเกาะกันเป็นสายยาว มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า Grfolan สามารถกระตุ้นเซลล์แมคโครฟาจ (Macrophage) ซึ่งเปรียบเสมือนกองทัพใหญ่ที่ทำงานในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในระดับเซลล์อีกด้วย

160491805710

จากการวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า สารสกัดจากเห็ดไมตาเกะสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง และเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของหนูที่เป็นมะเร็งได้ จากรายงานผลวิจัยทางการแพทย์ของ Hiroaki Nanba รายงานว่าในการศึกษาของเขาหัวข้อ Non-randomized clinical study Mitake D- fraction  ซึ่งเป็นการทดลองการรักษาและป้องกันมะเร็งในอาสาสมัคร 165 ราย ที่ป่วยเป็นมะเร็งขั้นรุนแรง ด้วยสารสกัด Mitake D-fraction อย่างเดียว หรือ Mitake D-fraction ร่วมกับการได้รับเคมีบำบัด

ผลการทดลองพบว่าเห็ดไมตาเกะให้ผลในการรักษาลูคีเมีย(มะเร็งเม็ดเลือดขาว), มะเร็งกระเพาะอาหาร, มะเร็งในกระดูก ได้ผลดีขึ้น และกลุ่มที่ได้รับ Mitake D- fraction ร่วมกับเคมีบำบัดก็ยิ่งได้ผลดีขึ้นไปอีก อีกทั้งสารสกัดจากเห็ดไมตาเกะยังสามารถลดผลข้างเคียง (เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง ระดับเม็ดเลือตขาวต่ำ) ให้แก่อาสาสมัครผู้ที่ใช้เคมีบำบัดได้ด้วย

2. เห็ดหลินจือ (Reishi หรือ Ganoderma lucidum)

เห็ดหลินจือ (Reishi mushroom หรือ Ganoderma lucidum) ชาวจีนและญี่ปุ่นใช้เห็ดชนิดนี้เป็นยามานับพันปี ในการรักษาโรคตับ ความดันโลหิตสูงและข้ออักเสบ เห็ดหลินจือมีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มความแข็งแรงในปอด โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาหอบหืด และผู้ที่ไอเรื้อรัง มีการวิจัยทดลองรักษาโรคปอดอักเสบเรื้อรังของชาวจีน 2,000 ราย เมื่อได้รับยาน้ำเชื่อมเห็ดหลินจือ พบว่าภายใน 2 สัปดาห์ อาการดีขึ้นร้อยละ 60-90 

160491805416

ปัจจุบันมีการวิจัยเพิ่มเติมพบว่า เห็ดหลินจือมีผลในการต้านภูมิแพ้ ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อไวรัส ต้านแบคทีเรีย และมีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ อีกทั้งมีการวิจัยในหลอดทดลองพบว่าเห็ดหลินจืออาจช่วยต้านมะเร็ง นอกจากนี้โปรตีนที่สกัดได้จากเห็ดหลินจือ อาจช่วยลดความเสี่ยงในการต้านเนื้อเยื่อเมื่อมีการปลูกถ่ายอวัยวะให้ผู้ป่วยอีกด้วย

3. เห็ดซิตาเกะหรือเห็ดหอม (Shitake หรือ Lentinus edodes)

เห็ดซิตาเกะ หรือ เห็ดหอม เป็นสัญลักษณ์ของการมือายุยืนของคนจีน พวกเขาใช้เห็ดชนิดนี้เป็นยามาเป็นเวลานานกว่า 6,000 ปี แม้จะมีสารอาหารเหมือนเห็ดทั่วๆ ไป แต่สิ่งที่เห็ดซิตาเกะต่างจากเห็ดอื่นๆ คือ อุดมไปด้วยวิตามินบี2 บี5 และบี6 เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีมาก อีกทั้งยังมีแร่ธาตุต่างๆ มากมาย เช่น แมงกานีส ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ซีลีเนียม ทองแดง สังกะสี แมกนีเซียม วิตามินดี และใยอาหาร นอกจากนี้ยังมีสาร “ไฟโทนิวเทรียน” อีกหลายชนิด

160491805462

สาเหตุที่ทำให้ "เห็ดหอม" ถูกจัดเป็นหนึ่งในเห็ดทางการแพทย์นั้น เนื่องจากมีงานวิจัยระบุถึงคุณสมบัติโดดเด่นของเห็ดหอม นั่นคืออุดมไปด้วยสาร "โพลีแซคคาไรด์ กลูแคน" ที่ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น และในอีกทางหนึ่งยังช่วยป้องกันระบบภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไป พูดได้ว่าเห็ดชนิดนี้สามารถที่จะเสริมภูมิคุ้มกันเมื่อร่างกายต้องการเพิ่มภูมิ แต่หากระบบภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไป ยังจะสามารถลดภูมิคุ้มกันให้อยู่ในระดับที่ร่างกายต้องการได้ด้วย

นอกจากนี้ ผลจากการรับประทานเห็ดชิตากะในรูปอาหารจะแตกต่างจากเห็ดชิตาเกะแบบสารสกัด โดยพบว่าหากรับประทานเห็ดชิตาเกะแบบสารสกัดจะมีฤทธิ์ในการช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ดีกว่า นอกจากนี้การรับประทานเห็ดชิตาเกะยังช่วยการทำงานของเซลล์ “แมคโครฟาจ (Mac-rophage)” เพื่อให้เข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้นด้วย 

นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานชี้ว่า "โพลีแซคคาไรด์ กลูแคน" ในเห็ดชิตาเกะ ช่วยลดคอเลสเทอรอล ต้านมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งสำไส้

4. เห็ดยามาบูซิตาเกะ (Hericium erinaceus)

เห็ดยามาบูชิตาเกะ หรือ เห็ดปุยฝ้าย สามารถพบได้บริเวณทางซีกโลกเหนือ เช่น ประเทศแถบยุโรป และบางภูมิภาคของประเทศญี่ปุ่น โดยทั่วไปมีขนาดประมาณ 5-20 เซนติเมตร มีสีขาว ลักษณะคล้ายเส้นไหมยาว มักพบเกาะอยู่ตามบริเวณต้นไม้ยืนต้น เช่น โอ๊ค วอลนัท ปัจจุบันมีงานวิจัยทางการแพทย์มากมาย ระบุถึงสรรพคุณทางยาจากสารสกัดของ เห็ดยามาบูชิตาเกะ ว่าช่วยฟื้นฟูระบบการทำงานของร่างกายและการช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ ได้ โดยเฉพาะในด้าน "ระบบภูมิคุ้มกัน" 

160491805441

ในปี 1994 มีการค้นพบของทีมนักวิทยาศาสตร์จากประเทศจีน พบว่าสารสกัดจากเห็ดยามาบูชิตาเกะช่วยกระตุ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ของเม็ดเลือดขาวชนิด B และ T ลิมโฟไซต์ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการเพิ่มระดับของเซลล์ CD4 (เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่ควบคุมและต่อสู้กับเชื้อโรค และมีบทบาทในการสร้างสารภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค) และเม็ดเลือดขาวชนิดแมคโครฟาจ ซึ่งช่วยในการจับกินเชื้อโรคอีกด้วย

ในปี 1999 มีการศึกษาวิจัยอีกชิ้นพบว่าสารโพลิแซคคาไรด์ที่สกัดได้จากเห็ดยามาบูชิตาเกะ มีส่วนช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อย่างมีนัยสำคัญ

-------------------------

อ้างอิง : 

otop.dss.go.th

facebook.com/Medicinal Mushroom MUKA

sutir.sut.ac.th:8080/jspui/bitstream

eldercarethailand.com