สกพอ. เร่ง 5 เมกะโปรเจค EEC แหลมฉบังลงนาม ก.พ. 64

สกพอ. เร่ง 5 เมกะโปรเจค EEC แหลมฉบังลงนาม ก.พ. 64

สกพอ.ยืนยัน 5 โครงสร้างพื้นฐานอีอีซีเดินหน้า ดันลงนามท่าเรือแหลมฉบัง ก.พ.64 ปัดฝุ่นเจรจาศูนย์ซ่อมอากาศยาน หวังเข็นเม็ดเงินลงทุนรัฐ-เอกชนครบ 6.5 แสนล้านบาท

การผลักดันเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้กำหนดให้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ 5 โครงการ ซึ่งมีการลงนามสัญญาร่วมลงทุนไปแล้ว 3 โครงการ คือ 1.รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน 2.สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก 3.ท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 และขณะนี้ภาครัฐกำลังดำเนินการประมูลโครงการที่เหลือ


นายโชคชัย ปัญญายงค์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวเสวนาหัวข้อ EEC GO เดินหน้าลงทุน..โครงการสร้างพื้นฐาน ในงานสัมนา EEC GO เดินหน้าลงทุน จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุนกิจ ว่า การระบาดของโรคโควิด-19 กระทบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลลกระทบกับภาคการท่องเที่ยวที่คิดเป็น 17% ของจีดีพีไทย ซึ่งสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) คาดว่าผู้โดยสารจะกลับมาเดินทางภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเท่าปี 2562 ภายในปี 2566

ส่วนการเดินทางทั่วโลกจะกลับมาในปี 2567 ทำให้เห็นว่าเอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีโอกาสจะกลับมาเร็วที่สุด

ทั้งนี้ ไทยถือเป็นประเทศแห่งโอกาสเพราะการระบาดของโรคโควิด-19 ไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศมาตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา ดังนั้นหากมองโอกาสทางการเดินทางที่จะสนับสนุนมาสู่เศรษฐกิจและการลงทุนในอนาคต ดังนั้น ไทยต้องเร่งเตรียมตัวลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพราะเป็นส่วนที่ต้องใช้เวลาในการพัฒนา รวมทั้งต้องพัฒนาบุคลากรรองรับการขยายตัวภาคธุรกิจด้วย

นายโชคชัย กล่าวต่อว่า ปัจจุบันประเทศไทยมี 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่จะเร่งส่งเสริมการลงทุน ซึ่ง 3 ส่วนแรก ที่ สกพอ.มองว่าจะต้องเร่งพัฒนาในอีอีซี เพื่อสนับสนุน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย คือ การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน 5G พัฒนาโครงสร้างด้านสมาร์ทโลจิสติกส์ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการแพทย์ เพื่อทำให้เอกชนที่จะเข้ามาลงทุนในอีอีซี มีต้นทุนการผลิตที่มีศักยภาพและประสิทธิภาพมากที่สุด

สำหรับความคืบหน้าด้านโครงสร้างพื้นฐานในอีอีซี ซึ่งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ลงนามร่วมลงทุนไปแล้วระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) และเอกชน ซึ่งแบ่งแผนงานพัฒนาออกเป็น 3 ส่วน คือ

1.ร.ฟ.ท.ส่งมอบบริหารรถไฟแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ คาดว่าจะมีการเข้าบริหารภายในปี 2564

2.ร.ฟ.ท.ส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรื้อย้ายสาธารณูปโภค ตามแผนก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2567

3.ส่งมอบก่อสร้างช่วงดอนเมือง - พญาไท ก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2571

ขณะที่โครงการท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มีการกำหนดจะต้องลงทุนสนามบินปีแรกให้ได้ 15.9 ล้านคนต่อปี และรองรับสูงสุดมากกว่า 60 ล้านคนต่อปี ถือเป็นเงื่อนไขที่บังคับเอกชนไว้ในสัญญา โดยแผนงานเบื้องต้น เอกชนจะเริ่มก่อสร้างในเดือน ธ.ค.2564 โดยภายหลังลงนามสัญญาไปแล้ว สกพอ.เตรียมส่งมอบพื้นที่ภายใน 18 เดือน จัดทำ EHIA และส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเป้าหมายสำคัญจะต้องทำสนามบินที่เชื่อมต่อกับรถไฟไฮสปีดด้วย เพื่อให้การเดินทางเชื่อมต่อกัน

ส่วนโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน (เอ็มอาร์โอ) ขณะนี้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ยังยืนยันที่จะเดินหน้า โดยการบินไทยเป็นบริษัทเดียวที่ทำซ่อมบำรุงอากาศยานในขณะนี้ ดังนั้นจะมีบุคลากรที่มีองค์ความรู้อยู่แล้ว แต่เป้าหมาย สกพอ.ต้องการอัพเดตความรู้ จึงมีการเจรจาร่วมทุนกับแอร์บัส โดยในขณะนี้เนื่องจากการบินไทยอยู่ในช่วงฟื้นฟูกิจการ ประกอบกับโควิด -19 ทำให้มีการชะลอแผนลงทุนออกไป จากเดิมเริ่มเปิดให้บริการราว 2564 – 2565 จะขยับไปเปิดให้บริการในปี 2567

นอกจากนี้ ปัจจุบันยังพบว่ามีเอกชนรายอื่น ที่ติดต่อสอบถามจะลงทุนในธุรกิจศูนย์ซ่อมอากาศยาน แต่เป็นซ่อมบำรุงอากาศยานลำตัวเล็ก ซึ่งจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคโควิด -10 ก็อาจส่งผลให้การตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนชะลอออกไปก่อน เบื้องต้นคาดว่าปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าจะมีการตัดสินใจจากภาคเอกชนอีกครั้ง โดยในส่วนของภาครัฐได้เตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว ทั้งในส่วนของการศึกษาและเตรียมพื้นที่พัฒนา

ด้านโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ยืนยันว่าปัจจุบันไม่ได้หยุดเดินหน้า แต่ยังอยู่ในขั้นตอนการคัดเลือก ซึ่งโครงการนี้จะเป็นท่าเรือนำเข้าและส่งออก เพิ่มขีดความสามารถรองรับตู้สินค้าจากปัจจุบัน 11 ล้านทีอียูต่อปี เพิ่มเป็น 18 ล้านทีอียูต่อปี โดยโครงการนี้มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากผลการศึกษาพบว่าท่าเรือแหลมฉบังจะมีตู้สินค้าเกินขีดความสามารถการรองรับในปี 2567–2568

ดังนั้น การล่าช้าของโครงการนี้อาจส่งผลห่าเรือแหลมฉบังวิกฤตเล็กน้อยช่วงปี 2567–2568 จึงต้องเร่งรัดเจรจาเอกชน โดยคาดว่าจะเสร็จภายในปีนี้และลงนามสัญญาภายใน ก.พ.2564

“ผมเชื่อว่าโครงสร้างพื้นฐานราง น้ำ ถนน อากาศ เรามีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในอาเซียน ซึ่งปัจจุบัน 5 โครงการสำคัญ ลงนามแล้ว 3 โครงการ ท่าเรือแหลมฉบังจะเจรจาเสร็จปีนี้เพื่อลงนามต้นปีหน้า ก็จะรวมเม็ดเงินลงทุน 6.5 แสนล้านบาท เป็นของรัฐ 42% และเอกชน 58% จะทำให้โครงสร้างพื้นฐานพร้อมซับพอร์ตนักลงทุน” นายโชคชัย กล่าว