สถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยา ยังไม่น่าห่วง ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก

สถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยา ยังไม่น่าห่วง ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก

ผอ.ชป.12 เผยสถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยา ยังไม่น่าห่วง ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ กรมชลประทาน ได้มีการออกหนังสือแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยา ฉบับที่2 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัด 11 จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่ลุ่มภาคกลาง ถึงปริมาณการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยายาจะมีปริมาณเพิ่มอัตราการระบายน้ำเพิ่มขึ้น ถึง 900-1,100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และจะทำให้ในพื้นที่ลุ่มต่ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยามีปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้น 60 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร

ล่าสุด นายกฤษฎา ศรีเพิ่มพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 12 เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากตั้งแต่วันที่ 14-16 ตุลาคมที่ผ่านมา มีพายุดีเปรสชั่นพัดผ่านมาในพื้นที่ภาคกลางก็ทำให้มีฝนตกที่ จังหวัดกำแพงเพชร พิจิตร และนครสวรรค์ จึงทำให้มีปริมาณน้ำทางด้านเหนือไหลลงมาสู่ จ.นครสวรรค์มากขึ้น และก็ยังมีน้ำท่าจากแม่น้ำสะแกกรัง ไหลมารวมกันที่แม่น้ำเจ้าพระยา จึงทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลมาถึงเขื่อนเจ้าพระยามีปริมาณมาก ซึ่งวันนี้เขื่อนเจ้าพระยามีการระบายน้ำอยู่ที่ 853 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และประกอบกับในพื้นที่มีฝนตกด้วย

ดังนั้น การระบายน้ำเข้าสู่ระบบชลประทานฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกจึงมีปริมาณไม่มากนัก ซึ่งทางกรมชลประทาน ก็ได้มีการออกหนังสือแจ้งเตือนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะพื้นที่ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ในพื้นที่ตั้งแต่ จ.สิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา ซึ่งตรงนี้ปริมาณน้ำที่ไหลไปยังท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ประมาณ 800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ก็จะมีผลกระทบอยู่ที่ อำเภอผักไห่ และอำเภอเสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำมีระดับสูงขึ้นประมาณ 60 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร

ทั้งนี้ทางกรมชลประทานก็อยากจะให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวเฝ้าติดตามสถานการณ์ฝนในพื้นที่ หากมีฝนตกในพื้นที่มากขึ้นกระระบายน้ำท่าลงในแม่น้ำเจ้าพระยาและในพื้นที่ตอนล่างก็จะมีการระบายน้ำเพิ่มขึ้นด้วย และหากมีการระบายน้ำเพิ่มขึ้นของเขื่อนเจ้าพระยา ทางกรมชลประทานก็จะมีการออกหนังสือแจ้งเตือนให้กับประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบและขอยืนยันพื้นที่ลุ่มต่ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาอาจจะได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับเกิดน้ำท่วมจนได้รับความเสียหายมาก อย่างไรก็ตามก็ขอให้ประชาชนเฝ้าติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการเท่านั้น