GULFถือหุ้น INTUCH ครบ10% โบรกฟันธงรับ ‘ปันผล’ ปีละ 700 ล้าน

GULFถือหุ้น INTUCH ครบ10%  โบรกฟันธงรับ ‘ปันผล’ ปีละ 700 ล้าน

GULFเข้าถือหุ้น INTUCH ครบ 10% นักวิเคราะห์คาดรับเงินปันผลปีละ 700 ล้านบาท พร้อมประเมินกำลังการผลิตไฟฟ้าในปี 2564 เติบโตอีก 42% เป็น 4,200 เมกะวัตต์

ตามที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ได้แจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่าคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้บริษัทลงทุนในหุ้นสามัญใน บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ได้ไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ INTUCH ภายในวงเงิน 1.9 หมื่นล้านบาท โดยการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ และ/หรือโดยวิธีอื่นใดตามที่เห็นสมควรภายใต้กฎหมายและหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)

ล่าสุด นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 6 ต.ค. ที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าถือหุ้นสามัญของ INTUCH เพิ่มเป็นจำนวน 320.65 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 10% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด 

ขณะเดียวกัน INTUCH ได้แจ้งปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท โดยมีการเปลี่ยนแปลงคือ GULF มีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 7.99% เป็น 10% ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของ INTUCH ขณะที่ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ยังคงเป็น Singtel Global Investment ซึ่งถือหุ้น 21%

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการของ GULF มีมติอนุมัติให้ บริษัทจัดตั้งบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท กัลฟ์1 จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท โดยบริษัทจะถือหุ้นในสัดส่วน99.99%ซึ่งบริษัทย่อยนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานหมุนเวียนจากแสงอาทิตย์ทุกรูปแบบ เช่น โซลาร์ฟาร์ม รวมถึงโซลาร์รูฟท็อป และการให้บริการบำรุงรักษาระบบพลังงานดังกล่าวแบบครบวงจร

ด้าน นายธีร์ธนัตถ์ จินดารัตน์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า เบื้องต้นมองเป็น กลางต่อการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนของ GULF ใน INTUCH จะราว 8% เป็น 10% หากจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุน คงจะต้องขอมติผู้ถือหุ้นอีกครั้ง 

อย่างไรก็ดี การลงทุนครั้งนี้ บริษัทจะได้เงินปันผล เข้ามาโดยคาดว่าจะอยู่ที่ราว 700 ล้านบาทต่อปี ซึ่ง GULF ยืนยันว่าการถือหุ้น INTUCH ครั้งนี้ เป็นการลงทุนจากเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และนำไปลงทุนในส่วนที่ได้ผลตอบแทนสูงกว่า ส่วนในระยะยาว GULF อาจจะไม่ขายหุ้น INTUCH หรืออาจจะซื้อเพิ่มได้ หากบริษัทยังมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และทางกลุ่ม INTUCH ก็มีแนวโน้มจะขยายธุรกิจในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย

ส่วนทิศทางของธุรกิจโรงไฟฟ้า ณ สิ้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา GULF มีกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมดที่ 6,409 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ 2,959 เมกะวัตต์ ซึ่งแบ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP สัดส่วน 46% โรงไฟฟ้า SPP สัดส่วน 42% และพลังงานทางเลือก 12% สำหรับกำลังการผลิตในประเทศเป็นการจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (EGAT) ในสัดส่วนราว 90% และลูกค้าเอกชนราว 10% โดยสัดส่วนลูกค้า EGAT จะเพิ่มขึ้นเป็น 95% ในปี 2570

หากพิจารณาตามแผนการทยอยเปิดดำเนินการโรงไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) สำหรับโครงการที่อยู่ใน Backlog ปัจจุบัน กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นจะเติบโตเป็น 4,200 เมกะวัตต์ ในปี 2564 หรือเพิ่มขึ้น 42% และเติบโตเฉลี่ย 22% ต่อปีใน 5 ปี ระหว่างปี 2563 – 2568 

ขณะที่กำไรปกติปี 2564 คาดเติบโตก้าวกระโดด 76% จากการเริ่ม COD ของโครงการ IPP ของ GSRC เฟสแรก ขนาด 1,325 เมกะวัตต์ และเฟสที่ 2 อีก 1,325 เมกะวัตต์ ซึ่งจะ COD ในปี 2565 และด้วยกำลังการผลิตที่ทยอย COD ต่อเนื่องจะหนุนให้กำไรของ GULF เติบโตต่อเนื่องทุกปีอย่างน้อยถึงปี 2570 หรือประมาณ 8 ปี ข้างหน้า

ด้วยราคาหุ้นปัจจุบันที่ราว 31 บาท คิดเป็น P/E ปี 2564 ที่ 46.3 เท่า แต่ PEG อยู่ที่ 0.61 เท่า เนื่องจากคาดกำไรปกติเติบโต 76% และการได้มาซึ่งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จะทำให้ P/E ของ GULF ลดลงไปอีกเราจึงมองว่าการอ่อนตัวลงเป็นโอกาสของการลงทุน อีกทั้งยังให้สมมติฐานราคาก๊าซธรรมชาติที่ 260 บาทต่อล้านบีทียู โดยทุกๆ 10 บาท ของราคาก๊าซที่ต่ำกว่าสมมติฐานจะส่งผลบวกต่อราคาเป้าหมายราว 1.50 บาทต่อหุ้น