โลกเปลี่ยน ประเทศปรับใหญ่

โลกเปลี่ยน ประเทศปรับใหญ่

เมื่อโลกเปลี่ยน รัฐบาลและประชาชนจึงไม่อาจดำเนินชีวิตและธุรกิจในแบบเดิมได้อีกต่อไป การมองนอกกรอบและตรงโจทย์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวางนโยบายระสั้นหรือยุทธศาสต์ระยะยาว นับเป็นทางรอดและทางออก โดยเฉพาะกับภาวะเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ที่ประมาณการว่าหดตัวถึง 8.3%

สถานการณ์ประเทศวันนี้ รัฐบาล ภาครัฐและประชาชน มิอาจคิดแผนธุรกิจ การดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ ได้อีกแล้ว เพราะอย่างที่เราทราบ “โลกไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว” ดังนั้นหากใครยังทำแบบเดิมๆ ทำธุรกิจแบบเดิมๆ ก็จะไม่มีที่ยืน เพราะจะถูกคลื่นลูกใหม่ซัดจมในห่วงทะเลแห่งอดีต คำถามที่น่าเป็นห่วงวันนี้ ตรงที่หลายคนหลายองค์กร ยังเชื่อว่าโลกยังเคลื่อนแบบเดิม จะไม่มีการปรับตัว ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะต่อต้านทุกการเปลี่ยนแปลง เพราะไม่เข้าใจว่าทำไปเพราะอะไร ทำไมต้องปรับแผนธุรกิจ ในเมื่อทำแบบเดิมๆ ก็ยังแสวงหากำไรได้อยู่แล้ว แม้จะลดลงบ้างตามภาวะเผชิญโควิดและเชื่อว่าหลังมีวัคซีนแล้วจะสามารถกลับมาทำกำไรสูงสุดได้อีกครั้ง ซึ่งหากใครคิดเช่นนี้ หรือพอใจกับผลประกอบการดังกล่าว อีกไม่นานเขาจะหายไปแผนที่โลก บทเรียนบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เคยครองตลาดทั่วโลก ล้มหายไปได้เห็นมามากมาย เพราะตามไม่เท่าทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ครั้งนี้ หนักและแรง เร็วกว่าเดิมหลายเท่า องค์กรไหนไม่ปรับ ก็จะเหลือเพียงอดีตให้จดจำ 

ประเทศไทยก็เช่นกัน การวางนโยบายระยะสั้น ยุทธศาสตร์ระยะยาวด้านต่างๆ การจัดสรรงบประมาณก็ไม่อาจทำแบบเดิมๆ ได้อีก จำเป็นต้องระดมสมองทีมงาน ฟังจากทุกภาคส่วนเพื่อ “คิดนอกกรอบ” ถึงจะได้คำตอบที่ตรงกับโจทย์ใหม่ เพราะมิฉะนั้นเรายังตอบแบบเดิมภายใต้โจทย์ใหม่ ผลลัพธ์ย่อมผิดพลาด ล้มเหลว เหตุเพราะว่ามุมมองที่ธนาคารโลกหรือเวิลด์แบงก์ออกมาเตือนถึงภาวะเศรษฐกิจนั้น เป็นปลายทางของปัญหา ที่สะท้อนภาพระยะสั้นออกมาเชิงตัวเลข ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2563 “หดตัว”​ เพิ่มขึ้นเป็น 8.3% จากเดิมที่คาดว่าจะหดตัวในระดับ 5% ผลพวงมาจากการดำเนินนโยบายการลงทุนภาครัฐที่ยังมีความล่าช้า และหากมีความไม่แน่นอนทางการเมืองเพิ่มขึ้น ทั้งการจัดตั้งทีมเศรษฐกิจ การประท้วงต่างๆ จะยิ่งส่งผลให้บรรยากาศหรือความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่ำลง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าได้อีก ตัวแปรเหล่านี้ เพียงผลของระยะสั้น แต่ในเชิงยุทธศาสตร์ใหญ่ เรายังไม่ออกจากกรอบคิดเดิมๆ

เราเห็นว่าถึงเวลาที่จะจริงจังกับการคิดแนวทางอะไรใหม่ๆ จริงอยู่เฉพาะหน้าการเอาเงินใส่มือคนจน คนชั้นกลาง เพื่อให้เกิดกำลังซื้อ ใช้จ่ายประคับประคองเศรษฐกิจ หรือตั้งกองทุนพยุงหุ้น กองทุนพยุงธุรกิจเล็กๆ เพื่อให้รอดตัวจากภาวะแบงก์ไม่ปล่อยกู้ แต่สิ่งที่ต้องคิดต่อมากกว่านั้น มาตรการระยะยาวที่ส่งผลให้ประเทศชาติโตอย่างมีเสถียรภาพ ในภาวะระเบียบโลกใหม่ ที่ยังไม่มีตำราที่ไหน สอนไว้ว่าจะต้องทำอย่างไร ซึ่งหากสามารถคิดสิ่งเหล่านี้ สำหรับประเทศในอนาคตได้ เราเชื่อว่า ไทยจะเป็นประเทศที่ยืนในแผนที่โลกอย่างโดดเด่น แต่สิ่งที่ห่วงใยตรงที่นักการเมือง รัฐบาลและประชาชน บางส่วนหวังแค่อยากเห็นผลในระยะสั้น เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวคิดเสียก่อน เพราะมิฉะนั้นแล้วประเทศก็จะเคลื่อนไปข้างหน้าได้ลำบากและเมื่อผ่านไประยะหนึ่งต้องหวนกลับมาแก้วิกฤติกันอีก