'สุรพล' ส.ส.ตัวจริงควรได้เข้าสภา หลังศาลยกฟ้อง กกต.แจก 'ใบส้ม'
"ราเมศ" ชี้ศาลฎีกายกฟ้องแจกใบส้ม "สุรพล" หนุน ส.ส.ตัวจริงควรได้เข้าสภา "เทพไท" จี้เร่งแก้ รธน.ปิดจุดอ่อนกฎหมาย
นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวถึงกรณีศาลฎีกาพิพากษาให้นายสุรพล เกียรติไชยากร อดีต ผู้สมัครส.ส.พรรคเพื่อไทยชนะคดี โดยไม่มีความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งว่า กรณีนี้เป็นข้อข้องใจของหลายฝ่ายกับกรณีคำสั่งของ กกต.ที่ให้มีการเลือกตั้งใหม่ เขต 8 จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนประกาศผลการเลือกตั้ง โดยอ้างเหตุผู้สมัครมีการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง คือการกล่าวหาว่าการใส่ซองทำบุญให้กับพระสงฆ์ จำนวน 2,000 บาท มีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73 (2) ฐานให้เงิน หรือทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ ชุมชน สมาคม มูลนิธิวัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใดในช่วงที่มีการเลือกตั้ง คำสั่งดังกล่าวรัฐธรรมนูญและ พรบ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ให้ถือว่าคำสั่งถึงที่สุด จนมีการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่จนนางสาวศรีนวล บุญลือ พรรคอนาคตใหม่ขณะนั้น ชนะการเลือกตั้งซ่อมในเขตดังกล่าว
"ต่อมาศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ได้มีเนื้อความตามคำพิพากษามีสาระสำคัญว่า การกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดตามกฏหมายเลือกตั้ง แต่กระบวนการต่างๆ ได้ดำเนินมาจนยากที่จะเยียวยากับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าว เพราะได้จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่แล้ว"นายราเมศ กล่าว
นายราเมศ กล่าวว่า กรณีนี้เห็นได้ชัดว่าข้อเท็จจริงของกระบวนการขัดแย้งกับความเป็นธรรม และความเป็นจริง ส.ส.ตัวจริง ควรเป็นนายสุรพล ที่ปิดหีบเลือกตั้งแล้วได้คะแนนมาอันดับหนึ่ง แต่จะทำอย่างไรให้ความเป็นธรรมกลับคืนมา ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าคิดว่า การจะให้คนที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวนี้เข้าไปเป็น ส.ส.ตัวจริงในสภาได้อย่างไร ทั้งนี้ คำสั่ง กกต.ก่อนการประกาศผลที่ถือว่าเป็นที่สุดตามรัฐธรรมนูญนั้น ตนเคยพูดไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งว่า กรณีนี้จะก่อให้เกิดปัญหาเพราะไร้ซึ่งการถ่วงดุล อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ในอนาคต ทุกคำสั่งที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งไม่ควรจบที่ กกต.แต่ควรให้ศาลมาถ่วงดุลร่วมตรวจสอบ ซึ่งจะเป็นหลักประกันได้เป็นอย่างดีดังนั้นการแก้รัฐธรรมนูญก็ควรหยิบยกประเด็นเหล่านี้ขึ้นมาทบทวนต่อไป
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวจะเป็นบทเรียนราคาแพงที่เกิดขึ้นในการทำงานของทุกฝ่าย ที่เกิดขึ้นจากจุดบกพร่องของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ซึ่งได้ประกาศใช้มาเป็นเวลาเกือบ 3 ปี ได้พบจุดบกพร่องมากขึ้นเป็นลำดับ จนต้องมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาของรัฐธรรมนูญปี 2560 ขึ้นมา โดยมีผลการศึกษาพบว่า มีจุดอ่อนและจุดบทพร่องในเกือบทุกมาตรา จึงเป็นที่มาของการเคลื่อนไหวให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาจุดอ่อน หรือจุดบกพร่องของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ทั้งหมด
นายเทพไท กล่าวว่า เช่นเดียวกับกรณีคุณสมบัติการเป็น ส.ส.ของตน ที่กำลังอยู่ในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาจากข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ไม่มีความชัดเจน เรื่องคุณสมบัติการพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. และไม่ใช้ผลจากคำพิพากษาศาลฎีกาให้เป็นที่สุด มากำหนดคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เพราะการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ขึ้นมา เพียงแต่ต้องการสร้างภาพให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงเท่านั้น รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่สามารถป้องกันการทุจริตคอร์รั่ปชั่น เป็นได้แค่การโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อหวังผลในการลงประชามติเท่านั้น
"เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายทางการเมืองไม่รู้จักจบสิ้น ที่เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จึงจำเป็นต้องร่วมมือกันผลักดัน ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.)ขึ้นมา เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มาจากประชาชนอย่างแท้จริง"นายเทพไท กล่าว