กูรูชี้วิกฤติหุ้นไทย 'อีกยาว' - 'นิเวศน์' เชื่อต่างชาติถอดใจ เทขายต่อเนื่อง

กูรูชี้วิกฤติหุ้นไทย 'อีกยาว' - 'นิเวศน์' เชื่อต่างชาติถอดใจ เทขายต่อเนื่อง

นักลงทุนวีไอ - นักวิเคราะห์ ประสานเสียง "วิกฤติหุ้นไทยยังไม่จบ" แนะเลี่ยงลงทุนหุ้นใหญ่ เน้นหาหุ้นที่ธุรกิจยังสามารถประคองรายได้และกำไรปกติ ขณะที่ดัชนี SET ส่อแววหลุด 1,200 จุด หลังจากร่วงลงมาแตะ 1,241 จุด

ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทย หรือ SET ล่าสุด (24 ก.ย.) ปรับตัวลดลงมาแตะระดับต่ำสุดของวันที่ 1,241.52 จุด หรือลดลง 22.49 จุด จากวันก่อนหน้า ก่อนจะรีบาวด์เล็กน้อยมาปิดตลาดที่ 1,247.46 จุด ลดลง 16.55 จุด หรือ 1.31% มูลค่าการซื้อขายรวม 56,230 ล้านบาท 

หากพิจารณาดัชนี SET จาก “จุดสูงสุด” หลังการฟื้นตัวในช่วงเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งดัชนีขึ้นไปแตะระดับ 1,454 จุด เท่ากับว่า SET ในระดับปัจจุบันปรับลดลงมาแล้วเกือบ 15% ส่วนนักลงทุนต่างชาติ และ นักลงทุนสถาบัน ในวานนี้ยังคงเทขายต่อเนื่อง 1,282 ล้านบาท และ 2,605 ล้านบาท ตามลำดับ

ในมุมมองของนักลงทุนเน้นมูลค่า (Value Investor) อย่าง นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร มองว่า สถานการณ์ปัจจุบันนักลงทุนเริ่มตระหนักว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และปัจจัยต่างๆ เกี่ยวกับตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าใดนัก โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลายในเร็ววัน ทำให้การท่องเที่ยวจะซบเซายาวนานกว่าที่คิดไว้ ขณะที่การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจก็ดูเหมือนจะแย่ลง กว่าจะฟื้นกลับที่เดิมน่าจะใช้เวลานาน

“ตอนนี้เหมือนกับว่าคนส่วนใหญ่ถอดใจ โดยเฉพาะต่างชาติ ซึ่งค่อนข้างซื้อขายหุ้นอิงกับพื้นฐาน ก็ไม่มั่นใจและได้เทขายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคล้ายกับวิกฤติที่ผ่านๆ มา คือ หุ้นมักจะตกแรงและเด้งแรงในช่วงแรก หลังจากนั้นคนก็จะตระหนักว่าวิกฤติมันเลวร้ายกว่าที่คิด ทำให้ราคาหุ้นถอยลงมาอีก ซึ่งวิกฤติรอบนี้กระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง จึงยากที่จะเห็นการฟื้นตัวแบบ V-shape และหลังจากนี้ก็อาจจะเห็นราคาหุ้นปรับขึ้นลงแรงได้อีก 2-3 ครั้ง”

อย่างไรก็ดี การจะตอบว่าหุ้นจะฟื้นกลับมาได้ช่วงไหนนั้นตอบยาก เพราะพื้นฐานของหุ้นอิงกับเศรษฐกิจที่ปัจจุบันคาดเดาได้ยาก โดยเฉพาะเรื่องของโควิด-19 ฉะนั้นการลงทุนในเวลานี้อาจจะปล่อยให้ตลาดซึมต่อไปก่อน จนกว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณที่ชัดเจนของวิกฤติที่จบลง ซึ่งปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณนั้น

“สำหรับนักลงทุนระยะยาวยังต้องรอไปก่อน เพราะวิกฤติยังไม่สุด แต่อาจจะเห็นการฟื้นตัวระยะสั้นอีกได้ แต่การฟื้นตัวที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อโควิด-19 คลี่คลายจริงๆ และผู้คนสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจ เช่น มีมาตรการว่าหากฉีดวัคซีนแล้ว สามารถเดินทางได้ทั่วโลก”

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในเวลานี้ หุ้นขนาดใหญ่ที่อิงกับเศรษฐกิจโดยภาพรวม หรือนักลงทุนต่างชาติและสถาบันลงทุนอยู่มาก อาจจะยังไม่ใช่เวลาเข้าซื้อ แต่ยังมีบางกลุ่มที่ราคาปรับตัวลดลงมาเยอะมากเช่นกัน แต่ธุรกิจของบริษัทยังสามารถประคองตัวอยู่ได้ มีรายได้และกำไรพอใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องหยุดธุรกิจหรือต้องปรับโครงสร้างใดๆ และที่สำคัญสุดคือราคาถูกมาก มองว่าเป็นหุ้นที่สามารถทยอยสะสมเพื่อลงทุนยาวได้ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี กว่าจะเห็นผลตอบแทนที่ดี แต่ในระหว่างนี้ก็ควรจะมีเงินปันผลชดเชยด้วย

ส่วนภาพของตลาดหุ้นในระยะสั้น ในมุมมองของนักวิเคราะห์ นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ ระบุว่า ประเด็นหนึ่งที่กดดันตลาดหุ้นไทยรอบนี้คือ การปรับลดประมาณการจีดีพี ปี 2564 ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยิ่งทำให้หุ้นไทยไม่น่าสนใจมากขึ้น ซึ่งเป็นการปรับลดในส่วนของการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ ที่เป็นสองเครื่องยนต์หลักซึ่งหนุนเศรษฐกิจไทย ทำให้นักลงทุนต่างชาติน่าจะขายหุ้นไทยต่อ

“โดยภาพรวม แนะนำถือเงินสดตั้งแต่มาตรการ uptick rule จะหมดอายุ ซึ่งเรามั่นใจว่าดัชนี SET จะลดลงไปแตะ 1,200 จุด หากยังไม่เห็นระดับนี้ก็ยังไม่ควรเข้าซื้อหุ้นขนาดใหญ่ แต่เมื่อดัชนีลดลงไปถึงระดับนั้นหรือต่ำกว่า ก็อาจจะพิจารณาแนะนำกลับเขาซื้อหุ้นใหญ่แทน หากประมาณการกำไรยังอยู่ในระดับเดิม โดยหุ้นขนาดใหญ่ที่จะฟื้นตัวนำขึ้นมามี 4 กลุ่ม คือ พลังงาน ปิโตรเคมี ธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์”