‘กกพ.’หนุนแผนสร้างงาน เร่งอัดฉีดเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้า

‘กกพ.’หนุนแผนสร้างงาน เร่งอัดฉีดเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้า

กกพ.เร่งอัดฉีดเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ปี64 ต่อเนื่อง วงเงินกว่า 2.8 พันล้านบาท หนุนรัฐบาลฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 คาดช่วยเพิ่งจ้างงานในพื้นที่ 3 หมื่นคน พร้อมปรับหลักเกณฑ์ให้เงินใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพ เน้นกระจายอานาจ สร้างความคล่องตัว

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า กกพ.ได้ขยายระยะเวลายื่นเสนอโครงการเพื่อขอรับเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้าในพื้นที่ประกาศ หรือเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้าตามมาตรา 97(3) ในปีงบประมาณ 2564 วงเงินประมากณกว่า 2,800 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงบประมาณในปี 2563 โดยขยายระยะเวลายื่นเสนอโครงการฯอีก 1 เดือน จากสิ้นสุด 30 ก.ย.63 เป็น ต.ค.63 เนื่องจากบางพื้นที่ทำประชาคมไม่ทัน ประกอบกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ใหม่เสร็จล่าช้า ซึ่งคาดว่า การพิจารณาอนุมัติโครงการปี 2564 จะสามารดำเนินการได้เร็วขึ้น หลัง กกพ.ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ใหม่ มีการตัดขั้นตอนนำเสนอเรื่องให้ กกพ.พิจารณา เป็นมอบหมายคณะกรรมการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า(คพรฟ.)

“การใช้เงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้าปี64 คาดว่า จะเอื้อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ประมาณ 3 หมื่นคน ทั้งลักษณะจ้างประจำและจ้างเหมา ซึ่งตอบโจทย์สร้างงาน สร้างได้ราย กระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19”

160068206645

สำหรับการปรับปรุงหลักเกณฑ์การบริหารจัดการเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้าตามมาตรา 97(3) ของ กกพ. กำหนดจัดเป้าหมายและวิธีการได้ดังนี้

เป้าหมายแรก การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงิน การกำกับ และตรวจสอบการใช้เงินกองทุนเพื่อยกระดับการดำเนินงานให้มีธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยเปลี่ยนหน่วยดำเนินการที่เป็นกลุ่มบุคคล 3 คน ให้อยู่ในรูปแบบของนิติบุคคลที่มีการรวมกันของคน เช่น วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม สหกรณ์ และมูลนิธิ โดยวางเป้าหมายจะยกเลิกการดำเนินโครงการโดยกลุ่มบุคคล 3 คนให้หมดไปในปีงบประมาณ 2565

เป้าหมายที่สอง การสร้างและการกระจายการใช้เงินกองทุนให้มีมิติที่ชัดเจน ตรงเป้าหมาย และเกิดความยั่งยืนมากขึ้น ผ่านการปรับปรุงขอบเขตการใช้เงิน และจัดกลุ่มใหม่ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ประกอบด้วยแผนงานหลัก 6 ด้าน ได้แก่ ด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจชุมชน ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสาธารณูปโภค และด้านพลังงานชุมชน แต่ก็ยังมีแผนงานด้านที่ 7 ด้านอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชน ไว้รองรับโครงการชุมชนที่ไม่เข้าเกณฑ์ตามแผนงานหลัก

เป้าหมายที่สาม การกระจายอำนาจและเพิ่มอำนาจการพิจารณาอนุมัติ การเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกโครงการชุมชน ซึ่งดาเนินการควบคู่กับการตรวจสอบความซ้ำซ้อนและการพัฒนาในภาพรวมของผู้ว่าราชการจังหวัด หรือหน่วยราชการที่ได้รับมอบหมายในพื้นที่ ที่จะทำให้การพิจารณาโครงการมีความคล่องตัว รวดเร็วมากขึ้น และไม่ต้องกลับมาสู่ชั้นของการพิจารณาจาก กกพ. ในส่วนกลางอีก

นายคมกฤช กล่าวว่า สำหรับข้อห่วงใย และการนำเสนอความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในช่วงที่มีการรับฟังความคิดเห็น กกพ. ยังได้นำมาปรับปรุงในหลายประเด็น เพื่อให้เกิดความราบรื่นในการเปลี่ยนผ่านจากหลักเกณฑ์เดิมไปสู่หลักเกณฑ์ใหม่ด้วย อาทิ การเพิ่มผู้แทนภาครัฐในแผนงานหลักเพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้กับ คพรฟ. โดยคงสัดส่วนจำนวนกรรมการจากภาคประชาชน เป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ไว้ตามเดิม การให้อำนาจ คพรฟ. พิจารณาใช้เงินในแผนงานด้านที่ 7 เกิน 25 ล้านบาทได้ตามความจำเป็น แต่ต้องไม่เกิน 15% ตามที่ กกพ. กำหนด

การอนุโลมให้กลุ่มบุคคล 3 คน ยังสามารถเป็นหน่วยดำเนินการได้ภายในปีงบประมาณ 2564 ภายใต้วงเงินไม่เกิน 3 แสนบาทต่อโครงการไว้ตามเดิม และการให้บังคับใช้เกณฑ์การประกาศพื้นที่กองทุนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าใหม่เฉพาะกองทุนที่จัดตั้งหลังจากหลักเกณฑ์ใหม่มีผลบังคับใช้ เป็นต้น

โดยสำนักงาน กกพ. จะลงพื้นที่จัดเวทีสื่อสารแนวทางการดาเนินงานตามหลักเกณฑ์ใหม่ให้กับผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ประกาศกองทุนพัฒนาไฟฟ้าทั้ง 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก และภาคใต้ ในเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน 2563 เพื่อสร้างความเข้าใจและประโยชน์ในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ครั้งนี้ ควบคู่ไปกับการเปิดรับความเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาปรับปรุงการดาเนินงานของกองทุนพัฒนาไฟฟ้าในพื้นที่ประกาศให้เกิดความเหมาะสมในลาดับต่อไป โดยคาดปรับปรุงหลักเกณฑ์ฯใหม่ คาดว่า มีผลบังคับใช้ ภายใน 1 ตุลาคมนี้ เป็นต้นไป