'จตุพร' ประเมินการต่อสู้ 'ม็อบ' นักศึกษายังอีกยาวไกล

'จตุพร' ประเมินการต่อสู้ 'ม็อบ' นักศึกษายังอีกยาวไกล

"จตุพร" ประเมินการต่อสู้ "ม็อบ" นักศึกษายังอีกยาวไกล ชี้แก้ปัญหาความขัดแย้งใช้แค่กฎหมายไม่ได้

เมื่อวันที่ 20 ก.ย.63  ที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวีแห่งใหม่ ซอย นวลจันทร์ รามอินทรา 40 มีการจัดรายการลมหายใจ พีซทีวี เวทีทัศน์ โดยยังคงจัดรูปแบบสตูดิโอ และการสื่อสารของประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.ไปยังพี่น้องมวลชนเป็นปกติทุกสัปดาห์ 

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวว่า เมื่อวานตนได้สแตนบายอยู่ที่สถานนี และตนก็มีเหตุผลว่าทำไมตนยังจะต้องอยู่รอบนอกเพราะ หากตนเข้าไปในสถานการณ์ที่มีความละเอียดอ่อนนั้นจะต้องมีคนคัดท้ายอยู่บ้าง รวมถึงหากตนเข้าไปร่วมการ "ชุมนุม 19 กันยา" ของนักศึกษา การรับมือของเจ้าหน้าที่ก็จะอีกระดับหนึ่งซึ่งเคยปราบมือกันมาแล้วในปี 2553 ซึ่งใช้จำนวนเจ้าหน้าที่กว่า 6 หมื่นคน และใช้งบประมาณกว่า 6 พันล้าน กระสุนปืนกว่า 5 แสนนัด  
 
ดังนั้นในสถานการณ์ที่คนรุ่นใหม่ คนหนุ่มสาวที่ยังไม่เคยเผชิญอย่างหนักเหมือนกับคนเสื้อแดงนั้นก็ไม่ควรที่จะรับมือกันถึงขนาดนั้น และยังมีคนมาถามตนอีกว่า พี่น้องคนเสื้อแดงมาร่วมจำนวนมาก ตนก็อธิบายชัดเจนว่าในโลกนี้ไม่มีใครจะเจ็บปวดมากเท่ากับคนเสื้อแดงอีกแล้ว เพราะในการเหตุการณ์การล้อมปราบคนเสื้อแดงนั้นเป็นการกระทำที่อำมหิตกว่าเหตุการณ์ 6 ตุลา ดังนั้นตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีนี้คนคเสื้อแดงจะอยู่ความเจ็บปวดตลอด เมื่อมีการชุมนุมเรียกร้องใดๆก็ตาม และยิ่งได้ต่อสู้กับเผด็จการ ก็จะออกมาต่อสู้เพราะ เขาได้พกความเจ็บปวดกันมายาวนาน 

อย่างไรก็ตาม คนเสื้อแดงที่คบค้าสมาคมมาด้วยกันนั้น เราเคารพในเสรีภาพซึ่งกันและกัน เราไม่ได้ขึ้นต่อกันในระบบสายการบังคับบัญชา แต่เป็นเรื่องของการอาสาสมัครซึ่งกันและกัน ต่างเป็นเสรีชนมีอิสระซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ที่ตนต้องเล่าให้ฟังเพราะหากตนจะพูดเอาใจเด็กเยาวชนนั้นง่ายมากเพราะตนเคยเป็นผู้นำนักศึกษามาก่อน วันนี้เราเดินทางมาไกล ในการชุมนุมไม่ว่าปรากฎการณ์เต็มท้องถนน ยืดเยื้อยาวนาน  แม้ว่าเคยต่อสู้มาถึงจุดสูงสุด จนกระทั่งจุดต่ำสุด และต้องมาสู้ใหม่ในสภาพที่แย่ที่สุด ดังนั้นจึงเห็นทุกปรากฎกาณ์และวันนี้ตนก็ยังเป็นตนเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน แต่คนอื่นเปลี่ยนไป แล้วมามองว่าตนเปลี่ยนไป เพราะความเป็นจริงนั้นไม่มีเรื่องอะไรที่ตนจะรอดเเม้แต่คดีเดียว 

ดังนั้น ณ วันนี้ต้องเข้าใจว่า การต่อสู้ไม่ได้จบภายในวันเดียว หนทางนี้ยังยืดเยื้อยาวนาน และสิ่งสำคัญที่สุด ในการต่อสู้ตนพูดเสมอว่า ไม่ว่าใครในยุคใดสมัยใดหรือพวกใดก็ตาม เมื่อต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ไม่มีใครกลัวตายและทุกคนต่างรู้ดีว่ามันจะไม่จบแบบง่ายๆ ดังนั้นการตัดสินใจอะไรก็ตามเราจะแลเห็น และหากอะไรที่เป็นภัยเราก็จะส่งสัญญาณเตือนไปตามลำดับ เพราะหนทางการต่อสู้ครั้งนี้มีความละเอียดอ่อน และถัดจากวันนี้ไปก็จะเป็นเรื่องเตรียมการของแต่ละฝ่าย และจะวิวัฒนาการตามลำดับ โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นปัญหา คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องบัตร 2 ใบ เรื่องปิดสวิตช์ ส.ว.เหล่านี้ไม่ได้ง่ายดังนั้นอย่าชะล่าใจไม่ว่าสูตรใดก็จะเป็นปัญหา 

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า วันนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไทยต้องคิดที่จบริหารประเทศไทยอย่างไร แต่ภาระสำคัญคือความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอย  แต่ในทางปฏิบัติคนในรัฐบาลกระโดดหนีไปค่อนรัฐบาล บางคนคิดจะเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7 โดยที่นายกรัฐมนตรีก็ไม่รู้  ดังนั้นวันนี้ตนหวังว่าในเหตุการณ์ต่างๆรัฐบาลควรได้รับบทเรียนกันพอสมควรว่า การใช้หลักนิติศาสตร์มากกว่าหลักรัฐศาสตร์ทำให้คนเพิ่มปริมาณขึ้น ในขณะที่คนหนุ่มสาวต่อสู้เรื่องการคุกคาม แต่ที่ผ่านมากว่า 1 เดือนมีการออกหมายจับแล้วปล่อย เป็นข่าวมาตลอดระยะเวลา ดังนั้นในครั้งนี้ก็เช่นกันที่กำลังแถลงบอกว่าผิดมาตรานั้นมาตรานี้นั้น ตนอยากบอกว่า ที่ผ่านมาก็เห็นอยู่แล้วว่าการให้หลัก นิติศาสตร์มากกว่าหลักรัฐศาสตร์ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหาใดได้