ร้านผลิตภัณฑ์สมุนไพร “ตำรับไทย” ยืนหนึ่งในธุรกิจเชนสโตร์สมุนไพรไทยร่วม 2 ทศวรรษ! ด้วยเครือข่ายสาขากว่า 115 แห่ง เรียกว่ามาไกลเกินกว่าที่ฝันไว้ทีเดียว
สำหรับซีอีโอยังก์ เจนเนอเรชัน มหาคุณ เทพสุทิน ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ตำรับไทย สมุนไพร จำกัด เจ้าของแบรนด์ “ร้านตำรับไทย สมุนไพรไทย” ที่เวลานี้กำลังเตรียมการใหญ่ นำพากิจการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ MAI ในปี 2565 ผลักดัน “ร้านตำรับไทย” บรรลุเป้าหมายเปิดให้บริการไม่น้อยกว่า 300 สาขาภายในปี 2567 ก้าวสู่ “ไอคอนแบรนด์ประเทศไทย” อย่างเต็มตัว
ภารกิจ บิ๊กสเต็ป! แห่งอนาคต ภายใต้โอกาสธุรกิจมหาศาล!ท่ามกลางสภาพตลาดและธุรกิจหลายแขนงเผชิญภาวะชะลอตัวอย่างหนักจากวิกฤติโควิด กระทบกำลังซื้อ เศรษฐกิจถดถอยอย่างต่อเนื่อง แต่ตลาดสมุนไพร โตสวนกระแสและมีแนวโน้มขยายตัวสูงต่อเนื่องจากดีมานด์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ จากการพัฒนาโปรดักท์ที่ใส่นวัตกรรมและไอเดียสร้างความทันสมัย เป็น มัสแฮฟ! ติดตัว ส่งผลตลาดสมุนไพร มูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 20% ต่อปี ก้าวสู่สินค้าไลฟ์สไตล์! และเป็นเค้กก้อนใหญ่
มหาคุณ กล่าวว่า เครือข่ายสาขาขณะนี้ยังไม่เพียงพอกับลูกค้าที่รออยู่ ดังนั้นโฟกัสของ ร้านตำรับไทย สมุนไพรไทย มุ่งขยายสาขาในอัตราเร่ง จาก 115 สาขา จะเพิ่มเป็น 130 สาขาในสิ้นปี 2563 และครบ 300 สาขาในสิ้นปี 2567
การเปิดสาขาเกาะไปกับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และห้างร้านค้าปลีกต่างๆ ทั้งกลุ่มเซ็นทรัล ท็อปส์ โรบินสัน รวมทั้งเทสโก้ โลตัส ซึ่งสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย! เทียบร้านสแตนอะโอน โดยมีโมเดลร้านทั้งขนาดเล็ก 20 ตร.ม. กลาง 40-65 ตร.ม. ใหญ่ 115 ตร.ม. และป๊อปอัพสโตร์ 40 ตร.ม. ลงทุนเฉลี่ย 2-3 ล้านบาทต่อแห่ง วางตำแหน่งทางการตลาดเป็นร้านค้าปลีกสมุนไพรไทยจากทั่วประเทศเป็น “จุดขาย” ที่แตกต่างด้วยการมีสินค้าสมุนไพรครบทุกไลน์ผลิตภัณฑ์ ตามชื่อ "ตำรับ" ซึ่งก็คือ การรวบรวม “ตำรับไทย สมุนไพรไทย” จึงเป็นการรวบรวมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยทั้งหมดมาอยู่ที่นี่กว่า 500 รายการ รวม 8,000 เอสเคยู แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบยาแผนโบราณและสินค้าสมุนไพรเพื่อความงาม โดยมี เจลแม่มะลิ เป็นสินค้าฮอทสร้างชื่อ!
"แต่ละเดือนจะมีผู้ประกอบการใหม่ 3-5 ราย สินค้าสมุนไพร 5-10 เอสเคยู เข้ามาเติมเต็มความต้องการและเพิ่มทางเลือกโดยยึดความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก แต่ต้องผ่านเกณฑ์ 20 ข้อที่เป็นเสมือนคัมภีร์สินค้าของตำรับไทย เช่น มีใบอนุญาต มี อย. เครื่องสำอางต้องมีเลขที่จดแจ้ง มีแหล่งผลิตชัดเจน วัน เดือน ปีที่ผลิต วันหมดอายุ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยที่เป็นอุปสรรคสำคัญของการทำตลาดสมุนไพรไทย"
ร้านตำรับไทย สมุนไพรไทย ยังมีแพทย์แผนไทยประจำทุกสาขา เพราะคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่ายาสมุนไพรหาซื้อที่ไหนก็ได้ แต่การขายยาสมุนไพรไทยที่ไม่ใช่ยาสามัญประจำบ้านตามหลักของกระทรวงสาธาณสุข จะต้องจ่ายยาโดยแพทย์แผนไทยที่ได้รับใบอนุญาตเท่านั้น ร้านจึงจำเป็นต้องมีแพทย์แผนไทยให้คำแนะนำ แม้ข้อจำกัดทางด้านบุคลากร ทำให้ไม่สามารถสปีดขยายสาขาได้รวดเร็ว แต่กลับเป็น “จุดแข็ง” ที่แตกต่างและยากจะแจ้งเกิดคู่แข่ง!
ขณะเดียวกัน การทำตลาดต้องทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคแต่ละช่วงเวลาด้วยเช่นกัน ธุรกิจต้องมองหาเทรนด์ใหม่ๆ ไม่ต่างจากสินค้าอื่นเพื่อนำความต้องการของลูกค้าไปพัฒนาโปรดักท์ด้วย “นวัตกรรม” ให้ตอบโจทย์ที่สุด อย่างช่วงโควิดที่ผ่านมา “ฟ้าทะลายโจร” ได้รับความนิยมสูง ไม่เพียงต่อต่อความต้องการ
หรือ จากกระแสสุขภาพ จะเห็นได้พฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้น้ำมันมะพร้าวมากขึ้น ทั้งรับประทาน บ้วนปาก หมักผม หรือยกตัวอย่างลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น มีการประยุกต์สินค้า แบบ “ดีไอวาย” เช่น นำไปขัดผิว
ปัจจุบัน ร้านตำรับไทย มีลูกค้าอายุ 18-65 ปี มีฐานลูกค้าประจำกว่า 3 แสนราย เรียกว่า มีตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงผู้ใหญ่ ซึ่งกลุ่มอายุ 20-45 ปี มีสัดส่วน 65% อายุ 45-65 ปี มี 25% อีก 10% เป็นกลุ่มอายุ 18 ปี ที่เติบโตสูง
การมุ่งขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ของ ตำรับไทย สมุนไพรไทย ยังมองหาทำเล กรุงเทพฯ ชั้นใน มากขึ้น เช่น ย่านพระราม 9 รัชดาฯ เพื่อสร้างการเข้าถึงได้มากขึ้น จากที่ผ่านมาเน้นการเปิดร้านใกล้มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษา ขณะที่สาขากลางเมืองอย่าง “เซ็นทรัลเวิลด์”จะถูกยกระดับด้วยโมเดลเอ็กซ์คลูซีฟ! มีการตกแต่งในลุคพรีเมียม วางสินค้าเน้นเข้มข้นเป็นพิเศษ
เป้าหมายการขยายสาขาควบคู่ไปกับการสร้าง “อัตลักษณ์ความเป็นไทย” ของแบรนด์ตำรับไทย ทำให้ “สมุนไพรไทย” ให้เป็นที่ยอมรับของคนไทยและทั่วโลก เปรียบได้กับ “ไอคอนแบรนด์ประเทศไทย” เช่นเดียวกับเวลาที่เราไปประเทศเกาหลี ต้องซื้อโสมเกาหลีกลับมา เมื่อมาเมืองไทยต้องอยากได้สมุนไพรไทยจากภูมิปัญญาของคนไทยกลับไปเช่นกัน
"เราต้องเริ่มจากทำให้คนไทยยอมรับและรักในสมุนไพรไทยก่อน เมื่อคนไทยรักและใช้สมุนไพรไทย ต่างชาติก็จะเชื่อมั่นในสมุนไพรไทยตามมา การสร้างอัตลักษณ์เพื่อสื่อสารและตอกย้ำแบรนด์คนไทยของตำรับไทยเป็นอีกหัวใจสำคัญ โดยสินค้าต้องมีฉลากที่เป็นภาษาไทยมากกว่า 60% คือดิสเพลย์แรกที่จะสะท้อนตัวตนและความเป็นไทย"
มหาคุณ ย้ำว่า ที่ผ่านมาและเวลานี้ต่างชาติจะยังไม่ใช่ลูกค้าเป้าหมายหลัก มีสัดส่วนอยู่ราว 5% เท่านั้น แต่คือโอกาสที่ตำรับไทยมองเปิดตลาดต่างประเทศด้วยเช่นกัน ซึ่งเวลานี้เริ่มศึกษาและเปิดสาขาแนวตะเข็บชายแดน อาทิ แม่สอด สระแก้ว กาญจนบุรี อุดรธานี พบว่า เพื่อนบ้านสนใจสินค้าและซื้อกลับไปใช้ไม่น้อย
เป็นอีกบิ๊กสเต็ป และโอกาสมหาศาลในอนาคตของ ตัวจริง ร้านตำรับไทย สมุนไพรไทย! ที่ขอเตรียมความพร้อมให้แข็งแกร่งที่สุด