นายกฯ ปลุกปชช. ยึด 3 สถาบัน วอนเดินหน้าพูดคุยฝ่าวิกฤติ

นายกฯ ปลุกปชช. ยึด 3 สถาบัน วอนเดินหน้าพูดคุยฝ่าวิกฤติ

"พล.อ.ประยุทธ์" ปลุกประชาชนยึดมั่น “3 สถาบันหลัก” เดินหน้าพูดคุย ด้านศาลรัฐธรรมนูญตีตกคำร้อง เอาผิดม็อบปลดแอกล้มล้างการปกครอง ชี้ข้อเท็จจริงไม่เพียงพอ ขณะที่ประธานวิปฝ่ายค้านมั่นใจแก้รัฐธรรมนูญ 2 ฝ่ายพูดคุยกันได้ ไม่ขัดข้องดันร่างรัฐบาลนำ

ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม วานนี้(2 ก.ย) ได้นำคณะลงพื้นที่ จ.สุโขทัย เพื่อตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม และมอบถุงยังชีพให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน โดยเดินทางไปยังพื้นที่ อ.สวรรคโลก ที่วัดคลองกระจง ต.คลองกระจง และบริเวณสะพานเมืองบางยม (ข้างวัดหนองโว้ง) หมู่ที่ 7 ต.ท่าทอง

โดยนายกฯ และคณะได้ตรวจพื้นที่ความเสียหาย และกล่าวกับประชาชนใน ต.ท่าทอง ตอนหนึ่งว่า

รัฐบาลรับฟังความคิดเห็นจากข้างล่างไปข้างบน แล้วมาเจอกันนี่คือการรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย ทุกช่วงวัย วันนี้เราก็มีความเป็นห่วงว่านักศึกษาที่จบมาจะไม่มีงานทำ ซึ่งรัฐบาลกำลังจะหางบประมาณไปจ้างงาน

ทุกคนคือคนไทยด้วยกันขอให้ทุกคนรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราอยู่ร่วมกันอย่างสันติไม่มีความขัดแย้งกันมายาวนาน ผมเองก็พยายามที่จะไม่ไปเป็นคู่ขัดแย้งกับใคร ก็ฝากพวกเราด้วยแล้วกัน ช่วยกันดูแลรัฐบาลและรัฐมนตรีทุกคน ที่ของมาวันนี้มาด้วยความรัก ความห่วงใยจริงๆ อะไรที่แก้ปัญหาให้ได้ก็ช่วยแก้ให้ ซึ่งจะมีทั้งในระยะสั้น ระยะยาว

นายกฯ กล่าวด้วยว่า ถ้าเราไม่สามารถเดินหน้าไปด้วยกัน พูดคุยกันหาแนวปฏิบัติที่อะลุ่มอล่วยกันบ้าง มันก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งหมด วันนี้ตนเห็นมีการเรียกร้องข้างถนน ตนก็รับไปหาทางแก้ปัญหา ไม่ได้รังเกียจรังงอนใคร เพราะทุกคนคือคนไทย ตนก็เป็นคนไทย นับถือศาสนาพุทธ และไม่ว่าศาสนาใดก็ตามอยู่บนประเทศไทยต้องรักประเทศไทย

รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นี่คือหลักชัยของแผ่นดิน ถ้าเราไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้หลงเหลือ เราจะเป็นประเทศที่หมดศักยภาพโดยทันที นี่คือสิ่งที่ต่างชาติยอมรับเรา เพราะฉะนั้นบ้านเมืองต้องสงบถึงจะได้ทำอย่างอื่นได้ ถ้าไม่สงบทำอะไรไม่ได้ จะเปลี่ยนแปลงอะไรก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย วันนี้รัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่ เพราะผมเป็นคนไทยอย่างท่าน ต้องการทำทุกอย่างให้ได้ เวลาก็จำกัด” นายกฯกล่าว

ศาลตีตกคำร้องเอาผิดม็อบปลดแอก

วันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญมีการพิจารณาคำร้องที่นายสนธิญา สวัสดี สมาชิกพรรคพลังประชารัฐยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 โดยกล่าวอ้างว่ากลุ่มผู้ชุมนุมนักเรียน นิสิต นักศึกษา และกลุ่มประชาชนเยาวชนปลดแอก (Free Youth)กระทำการจัดการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2563 และวันที่ 10 ส.ค.2563 โดยไม่ปฏิบัติตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 และผู้ถูกร้องมีข้อเรียกร้องหลายประการ ซึ่งผู้ร้องเห็นว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49

โดยศาลพิจารณาคำร้องแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องยังไม่เพียงพอเพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาให้แสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณา ของศาล

“ภาณุพงศ์” รับทราบข้อหาชุมนุม

ที่สน.นางเลิ้ง นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง ประธานกลุ่มเยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย พร้อม นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกพนักงานสอบสวนในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาด้วยเครื่องขยายเสียง กรณีการปราศรัยตอบโต้ พ.อ.หญิง นุสรา วรภัทราทร อดีตรองโฆษกกองทัพบก ที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา

โดยนายภาณุพงศ์ ได้นำภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงศ์ ผู้บัญชาการทหารบก มาจุดไฟเผา พร้อมกล่าวว่า แม้จะถูกออกหมายเรียกดำเนินคดี ยังคงยืนยันที่จะออกมาเรียกร้อง เคลื่อนไหว แสดงกิจกรรมทางการเมืองเช่นเดิม เพราะถือเป็นสิทธิของประชาชน การเผารูปนี้เป็นการสาปส่งบุคคลเหล่านี้ให้ไปสู่ภพภูมิที่ดี และการรับทราบข้อกล่าวหาครั้งนี้ก็เพื่อยืนยันถึงการต่อสู้ของนักสู้เพื่อประชาธิปไตย หลังมีอำนาจมืดพยายามดำเนินคดีกับกลุ่มผู้เห็นต่าง ข้อเรียกร้องของนักศึกษาต่างๆควรได้รับการรับฟังและเปลี่ยนแปลง หวังว่าชัยชนะของกลุ่มนักศึกษาและประชาชนจะมาถึงโดยเร็วที่สุด

วันเดียวกันที่ทำเนียบฯ กลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มรักษ์โตนสะตอ ยังคงปักหลักชุมนุมอยู่บริเวณหน้าประตู 1 เพื่อขอให้ชะลอการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำเหมืองตะกั่ว เป็นวันที่ 3

ขณะที่เวลาประมาณ 13.00 น.ที่ผ่านมา นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน ตัวแทนสหภาพนักเรียน นิสิต แห่งประเทศไทย และ นายภาณุพงศ์ มาทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เผาพริก เผาเกลือ ขับไล่คนที่กัดกินประเทศไทย และกดขี่ประชาชน โดยมีตำรวจดูแลสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

“สุทิน”ยันแก้รธน.2ฝ่ายคุยกันได้

ส่วนความคืบหน้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และประธานคณะกรรมการพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงร่างรัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลที่มีความแตกต่างกัน ว่า น่าจะสะท้อนความยืดหยุ่นของปัญหาประเทศมากที่สุด อย่าให้แก้ยากเกินไป แต่สามารถพูดคุยกันได้ในวาระ2

ทั้งนี้ ปัญหาที่อยากเสนอคืออยากให้เร่งรัดการแก้รัฐธรรมนูญเป็นไปได้หรือไม่ ว่าเมื่อรับหลักวาระหนึ่งในวันที่ 24 ก.ย.แล้ว เมื่อเข้าสู่วาระสองขอให้พิจารณาไม่เกินสองสัปดาห์ ซึ่งสามารถทำได้ ถ้าจบได้ภายในสองสัปดาห์ เราขอให้รัฐบาลเปิดประชุมสมัยวิสามัญในเดือนต.ค. เพื่อให้จบวาระสาม และเมื่อเปิดประชุมสภาฯในวันที่ 1พ.ย. เราก็จะสามารถเข้าสู่กระบวนการทำประชามติ ซึ่งคิดว่าหนึ่งเดือนสามารถทำประชามติเสร็จ พอเดือนธ.ค.ก็สามารถตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)ได้

ซึ่งไทม์ไลน์ที่คุยกันไว้ไม่เกินความพยายามที่จะทำได้ ดังนั้น จะขอร้องทุกฝ่ายโดยเฉพาะรัฐบาลได้ย่นย่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะหากยืดเรื่องนี้ตนมองไม่เห็นผลดีเลย แต่การทำให้เร็ว มีคุณภาพ ประชาชนมีส่วนร่วมจะแก้ปัญหาได้หลายอย่าง ประเทศก็จะเดินไปได้

ไร้ปัญหาดันร่างรบ.เป็นร่างหลัก

เมื่อถามว่าก่อนที่จะเป็นไปตามไทม์ไลน์ ทางวิปรัฐบาลออกมาเปิดเผยสัญญาณส.ว.ไม่ค่อยดี นายสุทิน กล่าวว่า เราจะรอจนสัญญาณดีก็ไม่ได้ เชื่อว่าเหตุผล และปัญหาที่เราพบ ส.ว.จะเห็นและร่วมหาทางออกให้ประเทศ จึงเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว ส.ว.คงเห็นแก่ประเทศ ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลทำงานร่วมกันได้แม้ความเห็นจะแตกต่างแต่มีเป้าหมายเดียวกัน แต่ถ้าเป้าหมายคนละแบบก็ทำงานกันยาก

เมื่อถามว่า ร่างของฝ่ายรัฐบาลจะกลายเป็นร่างหลัก ฝ่ายค้านจะไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า ไม่มีปัญหา เพราะจะเอาของใครเป็นหลักก็ไม่ต่างกัน เพราะเนื้อหาคล้ายกัน ทั้งแก้มาตรา256 และการตั้งส.ส.ร. ถ้าหลักใหญ่ตรงกันจะเอาร่างใดเป็นหลักก็ไม่ว่ากัน

เลื่อน“ครูโอ๊ะ” ส.ส.แทน“นาที”

วันเดียวกันราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศสภาผู้แทนราษฎรเรื่องให้ผู้มีชื่ออยู่ในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองเลื่อนขึ้นมาเป็นสมาชิกสภาฯ แทนตำแหน่งที่ว่างคือ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับ16 พรรคภูมิใจไทย และรมช.ศึกษาธิการ แทนนางนาที รัชกิจประการ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ เมื่อวันที่27ส.ค.2563ให้จำคุก 1 เดือน และปรับ4,000บาท

โดยโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด1ปีทำให้สมาชิกภาพของนางนาทีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ 2560 ตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา ปรากฏว่าจากนั้นเวลา 14.00น.วันเดียวกันนางกนกวรรณ ได้เดินทางไปที่รัฐสภาเพื่อยื่นเอกสารกับเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรขอลาออกจากการเป็นส.ส.เพื่อเปิดทางให้นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร ซึ่งมีรายชื่ออยู่ในลำดับถัดไปจะได้ขึ้นมาเป็นส.ส.แทน

“เจ้าตัว”ยื่นไขก็อกเปิดทาง“สุชาติ”

โดยนางกนกวรรณ ให้สัมภาษณ์ภายหลังยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นส.ส.ว่าการลาออกในครั้งนี้เพื่อทำหน้าที่รัฐมนตรีตามที่ได้รับการโปรดเกล้าฯให้ปฏิบัติหน้าที่และเพื่อให้สมาชิกที่อยู่ในลำดับถัดไปได้เข้ามาทำหน้าที่ส.ส.ได้อย่างเต็มที่เช่นกัน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงานทุกส่วน

‘สิระ’ลาออกจาก‘กมธ.ป.ป.ช.’

ที่รัฐสภา นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การยุติธรรม การกฎหมายและสิทธิมนุษยชน และกมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ(กมธ.ป.ป.ช.) สภาฯ กล่าวถึงกรณีที่ตนได้เห็นคลิปชายคนหนึ่งที่ไปตบทรัพย์ ว่า ตนจะปกป้องบุคคลบริสุทธิ์และตรวจสอบคนชั่ว แต่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ.ป.ป.ช.บอกว่าหากตนตรวจสอบ แล้วเขาจะตรวจสอบตนนั้น ตนขอฟ้องประชาชนว่าตนกำลังตรวจสอบคนที่กระทำความผิด หรือกรรโชกทรัพย์หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้มีความผิดทางอาญา และไม่ได้รับการลงโทษ ยังไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ดังนั้นตนสงสัยว่านี่เป็นการปกป้องกันหรือ มีอคติหรือไม่

“วันนี้ผมจะทำหนังสือลาออกจากกรรมาธิการ ป.ป.ช. ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นประธาน เพราะหากเป็นเช่นนี้ผมทำงานร่วมกับท่านไม่ได้ เป็นการที่ผมจะทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร แล้วบอกจะตรวจสอบผม หากมีการพิจารณาเรื่องนี้ ผมขอประกาศลาออก ไม่สามารถทำงานร่วมกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ในกรรมาธิการ ป.ป.ช.ได้” นายสิระ กล่าว