‘กองทุน’จี้บจ.ปรับตัวรับยุคนิวนอร์มอล

การจัดงาน ‘ไทยแลนด์ โฟกัส 2020’ เมื่อ 26 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการจัดงานผ่านระบบออนไลน์ นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า มีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังกว่าหมื่นราย โดยช่วงเช้ามาจำนวนผู้รับฟังสูงสุดราว 1.4 หมื่นราย และช่วงบ่ายราว 1.1 หมื่นราย

โดยประเด็นสำคัญที่นักลงทุนให้ความสนใจ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของธุรกิจและทิศทางที่จะดำเนินต่อไปของแต่ละบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ รวมถึงการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย การจัดการเงินลงทุน ทั้งในส่วนที่ใช้รองรับการขยายธุรกิจหลัก และส่วนที่ใช้ในการซื้อกิจการ รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโควิด-19 ต่อความสามารถในการทำกำไรของแต่ละบริษัท ขณะเดียวกันนักลงทุนส่วนมากได้ให้น้ำหนักต่อปัจจัยต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายทางเศรษฐกิจหรือภาวะตลาด มากกว่าการให้น้ำหนักต่อปัจจัยในประเทศ

ทั้งนี้ หลายธุรกิจในประเทศเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน อาทิ บรรจุภัณฑ์ สินค้าเกษตร สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ วัสดุก่อสร้าง ซึ่งบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจเป็นพิเศษ ส่วนการปรับตัวของบริษัทจดทะเบียนไทยในช่วงที่ผ่านมา มีการปรับตัวใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1.ปรับผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ 2.ปรับปรุงโครงสร้างการทำงาน และนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย 3.ดูแลและพัฒนาศักยภาพพนักงาน และ 4.บริหารจัดการสภาพคล่องเพื่อให้บริษัทดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง

ด้านแผนงานของตลท.ในช่วงต่อจากนี้ จะเน้นให้การดำเนินงานรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนให้หลากหลายมากขึ้น ทั้งในส่วนของตราสารหนี้ กองทุน รวมถึงการเพิ่มผลิตภัณฑ์ในหลากหลายสกุลเงิน และสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนแนวโน้มของโครงสร้างตลาดหุ้นไทยในอนาคต เชื่อว่าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจใหม่ เช่น ขนส่งอาหาร ขนส่งสินค้า การท่องเที่ยวยุคใหม่ จะเป็นกลุ่มที่เติบโตได้ดีหลังจากนี้ ซึ่งที่ผ่านมาก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงพอสมควร โดยเฉพาะอุตสาหกรรมบริการที่มีสัดส่วนมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นเป็น 20-30% ของตลาด

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลท. กล่าวว่า ปัจจุบัน ตลท.อยู่ระหว่างการศึกษาพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งระดมทุนให้ธุรกิจเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวจะช่วยเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างธุรกิจ รวมถึงเปิดโอกาสให้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนด้วย

“เบื้องต้นคาดว่าน่าจะกลางปีหน้าแพลตฟอร์มดังกล่าวจะเริ่มใช้งาน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการคุยกับสถาบันการเงินที่รู้จักบริษัทเหล่านี้ไปบ้างแล้ว และกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะมีบริษัทใดที่มีศักยภาพในการเข้ามาร่วมบ้าง”