กพร.ยืนยันคดีเหมืองทองอัครา ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ประเทศ

กพร.ยืนยันคดีเหมืองทองอัครา ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ประเทศ

กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ยืนยัน คดีเหมืองทองอัคราจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการต่อสู้คดีเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ระบุเน้นเจรจาภายใต้กรอบของกฎหมาย เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยังเปิดโอกาสในการเจรจาเพื่อยุติคดีก่อนที่คณะอนุญาโตตุลาการจะมีคำตัดสิน

นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เปิดเผยว่า กรณีข้อพิพาทเหมืองทองอัคราระหว่างประเทศไทยกับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด เกิดขึ้นจากการที่ภาครัฐตระหนักและให้ความสำคัญต่อการดูแลสิ่งแวดล้อม สุขอนามัยและความปลอดภัยของประชาชนอย่างทันท่วงที เพื่อคุ้มครองประชาชนจากผลกระทบเฉพาะหน้า ดังจะเห็นได้ว่าในอดีตมีการร้องเรียนถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนโดยรอบพื้นที่ประกอบการเหมืองแร่ทองคำอย่างต่อเนื่องและยกระดับความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ

ดังนั้น การดำเนินการของภาครัฐจึงเป็นการดำเนินการตามมาตรฐานสากลที่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ  โดยในส่วนของกระบวนการอนุญาโตตุลาการยังอยู่ในระหว่างการต่อสู้คดีอย่างรอบคอบ รัดกุม และเป็นเอกภาพ ซึ่งปัจจุบันคณะอนุญาโตตุลาการยังไม่มีคำตัดสินชี้ขาดแต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน คณะกรรมการดำเนินการระงับข้อพิพาทระหว่างราชอาณาจักรไทยกับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ซึ่งมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานคณะกรรมการ ยังคงเปิดโอกาสในการใช้แนวทางการเจรจาเพื่อหาข้อยุติที่ยอมรับร่วมกันก่อนคณะอนุญาโตตุลาการจะมีคำตัดสินชี้ขาด

“ขอให้เชื่อมั่นว่า แนวทางการเจรจาของฝ่ายไทยจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ยึดถือประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นหลัก ไม่มีการเอื้อประโยชน์หรือเลือกปฏิบัติแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยคำนึงถึงดุลยภาพที่เป็นธรรมต่อประชาชน ชุมชนในพื้นที่ และผู้ประกอบการด้วย”

สำหรับประเด็นเรื่องงบประมาณที่กำลังเป็นที่สนใจของสาธารณชนอยู่ในขณะนี้ ขอชี้แจงว่า จากการที่บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ประเทศออสเตรเลีย ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นให้ราชอาณาจักรไทยเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ภายใต้ความตกลง การค้าเสรีระหว่างไทย-ออสเตรเลีย หรือ TAFTA  กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่จึงจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการต่อสู้คดีในฐานะประเทศไทย โดยใช้เป็นค่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงเป็นค่าใช้จ่ายในกระบวนการและขั้นตอนการต่อสู้คดีในขั้นอนุญาโตตุลาการ เพื่อรักษาผลประโยชน์ตามสิทธิอันพึงมีพึงได้ของประเทศไทยภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ