กนอ.ถมทะเลต้นปีหน้า เร่งแผนมาบตาพุดเฟส 3

กนอ.ถมทะเลต้นปีหน้า  เร่งแผนมาบตาพุดเฟส 3

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการพัฒนาโครงการของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เมื่อวันที่ 24 ส.ค.2563

นางสาวสมจิณณ์ ผู้ว่าการ กนอ. เปิดเผยว่า นายสุริยะ ได้ติดตามการพัฒนาโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด โดยท่าเรือแห่งนี้แบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ การก่อสร้างท่าเรือฯระยะที่ 1 และระยะที่ 2 มีพื้นที่รวมประมาณ 2,870 ไร่ และระยะที่ 3 ประมาณ 1,000 ไร่ 

ทั้งนี้ ปัจจุบันท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดมีท่าเทียบเรือให้บริการ 12 ท่า แบ่งเป็นท่าเทียบเรือสาธารณะ (Public Berths) 3 ท่า และท่าเทียบเรือเฉพาะกิจ 9 ท่า มีปริมาณเรือผ่านท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดจำนวน 4,258 ลำ ปริมาณสินค้าผ่านท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2563 อยู่ที่ 41,977,778 ตัน และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิค 19 เป็นผลให้ปริมาณสินค้าผ่านท่าลดลงประมาณ 6.8%

รวมทั้ง ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด มีระบบบริหารจัดการควบคุมการจราจรทางน้ำโดยใช้ระบบ Vessel Traffic Monitoring System (VTSM) ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากลของการให้บริการจราจรทางน้ำ ซึ่งเป็นระบบเฝ้าสังเกตการณ์การเคลื่อนที่ของเรือในทะเล 

โดยใช้หลักการทำงานจากอุปกรณ์เซนเซอร์ต่างๆ เช่น เรดาร์ AIS (ระบบแสดงตนโดยอัตโนมัติเป็นอุปกรณ์สำคัญในการบริหารจัดการทางน้ำ) กล้องโทรทัศน์วงจรปิด อุปกรณ์ตรวจวัดทางอุตุนิยมวิทยา และอุปกรณ์ตรวจจับอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ โดยระบบดังกล่าวสามารถติดตามการเคลื่อนที่ของเรือได้ตลอดเวลา ทำให้สามารถควบคุมการจราจรทางน้ำในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

นอกจากนี้ ปี 2562 กนอ.ลงนามสัญญาร่วมทุนในรูปแบบการบริหารธุรกิจ (PPP : Business Case) ในการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 กับบริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินัล จำกัด เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศและเป็นกลไกขับเคลื่อนการลงทุนในอีอีซี 

159827424285

สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างฯ หลังได้รับใบอนุญาตให้ปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำแม่น้ำจากสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาระยองแล้ว บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินัล จำกัด ได้ดำเนินการออกแบบและก่อสร้างในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ทั้งในส่วนของการขุดลอกและถมทะเล พื้นที่ 1,000 ไร่ แบ่งเป็น 

พื้นที่ใช้ประโยชน์ 550 ไร่ และพื้นที่เก็บกักตะกอน 450 ไร่ การขุดลอกร่องน้ำ และแอ่งกลับเรือ การก่อสร้างเขื่อนกันคลื่น การก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน การติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการเดินเรือ ท่าเทียบเรือบริการ และท่าเทียบเรือก๊าซ รองรับปริมาณการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ โดยจะเริ่มถมทะเลก่อสร้างในช่วงต้นปี 2564 และคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการได้ภายในปี 2569

สำหรับการพัฒนามาบตาพุดคอมเพล็กซ์และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เป็นพื้นที่ลงทุนอุตสาหกรรมปิโตรเคมีติดอันดับ 1 ใน 5 ของภูมิภาคอาเซียน ปัจจุบันกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมคอมเพล็กซ์มีจำนวน 5 นิคม ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอตะวันออก นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย นิคมอุตสาหกรรมอาร์ไอแอล นิคมอุตสาหกรรมผาแดง และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด 

ปัจจุบันมีโรงงานจำนวน 151 โรง จำนวนแรงงาน 30,000 คน มูลค่าการลงทุน 1 ล้านล้านบาท รองรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นปลาย ปิโตรเคมีขั้นกลาง ปิโตรเคมีขั้นปลาย ก๊าซ เคมีภัณฑ์ โรงไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน เหล็ก และอุตสาหกรรมอื่นๆ

นอกจากนี้ นายสุริยะ ได้ติดตามการพัฒนา โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค (Smart Park) เกิดจากแนวคิดในการพัฒนาที่มุ่งเน้นการเป็นนิคมอุตสาหกรรมต้นแบบในการพัฒนา Smart Eco และใช้นวัตกรรมในการให้บริการระบบสาธารณูปโภค รวมถึงการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เป็นศูนย์กลางทางพาณิชย์ของชุมชนที่ทันสมัย รองรับการเจริญเติบโตการใช้บริการภาคธุรกิจในพื้นที่

นิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค (Smart Park) ตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง มีพื้นที่โครงการประมาณ 1,383.76 ไร่ ปัจจุบันสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มีมติเห็นชอบการลงทุนโครงการ เมื่อวันที่ 10 ก.ค.2563 และเตรียมนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติ ก่อนจะเริ่มดำเนินการก่อสร้าง 

โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มการก่อสร้างได้ในไตรมาส 2 ปี 2564 และใช้ระยะเวลาการก่อสร้างประมาณ 3 ปี โดยคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการโครงการฯได้ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงาน ประมาณ 7,459 คน ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ประมาณ 1,342,620,000 บาทต่อปี (คิดฐานเงินเดือนขั้นต่ำเดือนละ 15,000 บาท)

“นิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค มีมูลค่าการลงทุนระยะแรก 2,480.73 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นค่าออกแบบแนวคิดโครงการและการจัดทำ EIA และค่าดำเนินการก่อสร้าง" 

ทั้งนี้ จะเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (Aviation & Logistics) กลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ (Medical Device) กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) และกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล (Digital)

นอกจากนี้ มีความได้เปรียบในเรื่องของระบบคมนาคมขนส่งทั้งระบบขนส่งทางอากาศสนามบินอู่ตะเภา ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระบบขนส่งทางบก อันได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ทางด่วนมอเตอร์เวย์ เป็นต้น และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณไตรมาส 2 ของปี 2564 โดยจะแล้วพร้อมเปิดให้บริการได้ภายในปี 2567