นักลงทุน ‘ตื่นทอง’ เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่า

นักลงทุน ‘ตื่นทอง’ เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่า

"ทองคำ" สินทรัพย์การลงทุนที่ร้อนแรงสุดในปีนี้ ปัจจัยที่ทำให้ราคาปรับตัวขึ้นแรงมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และเป็นที่น่าจับอย่างมากเมื่อบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ อิงค์ ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับตำนาน ซื้อหุ้นบริษัททำเหมืองทองคำรายใหญ่ของโลก

สินทรัพย์การลงทุนที่ “ร้อนแรง” สุดในปีนี้ ต้องยกให้ “ทองคำ” เพราะนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (16 ส.ค.) ราคาทองคำปรับขึ้นมาแล้วกว่า 28.1% ยิ่งถ้านับในช่วงที่ราคาทองคำปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ 2,070 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อวันที่ 6 ส.ค.2563 ผลตอบแทนของราคาทองคำในช่วงนั้นพุ่งสูงถึง 36% จากต้นปี ส่วนราคาทองคำในประเทศไทย ก็ไม่น้อยหน้า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน เพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 35% และหากนับในช่วงที่ราคาทองคำ (แท่ง) ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 30,300 บาทต่อบาททองคำ เมื่อวันที่ 7 ส.ค.2563 ผลตอบแทนช่วงนั้นสูงถึง 41.2% ทองคำจึงเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทน “ดีสุด” ในกรณีที่ไม่นับสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น บิทคอยน์

สาเหตุที่ราคาทองคำตลาดโลกปรับตัวขึ้นแรง และมีผลให้ราคาทองคำในประเทศไทยปรับตัวขึ้นตาม หลักๆ มาจาก “การอ่อนค่า” ของ “เงินดอลลาร์” ...เป็นที่ทราบกันดีว่า “ทองคำ” กับ “ดอลลาร์” มักเคลื่อนไหวสวนทางกันตลอด โดยช่วงที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจแบบไม่อั้นผ่านมาตรการ “คิวอี” ทำให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และปริมาณเงินดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งถูกนำไปใช้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ รวมถึง “ทองคำ” ด้วย

นอกจากนี้ในเชิงเทคนิค ทองคำระยะหลังมักมีความสันพันธ์กับ “ดอกเบี้ยแท้จริง” หรือ Real Yield ที่มากขึ้น คำว่าดอกเบี้ยแท้จริง คือ อัตราดอกเบี้ยหักลบกับเงินเฟ้อ พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเราเอาเงินไปฝากแบงก์หรือซื้อพันธบัตร (บอนด์) รัฐบาล ได้ดอกเบี้ยเท่าไร “หักออก” จากเงินเฟ้อ นั่นคือ ผลตอบแทนแท้จริงที่ได้รับ นักลงทุนในต่างประเทศส่วนใหญ่จึงใช้ ผลตอบแทนพันธบัตร(บอนด์ยิลด์) รัฐบาลสหรัฐ รุ่นอายุ 10 ปี เป็นตัววัดการเคลื่อนไหวของราคาทองคำประกอบ

ระยะหลังจะเห็นว่า ช่วงที่บอนด์ยิลด์สหรัฐปรับลดลง ราคาทองคำมักพุ่งขึ้น และช่วงใดที่บอนด์ยิลด์สหรัฐเพิ่มขึ้น ราคาทองคำมักลดลง ซึ่งทั้งหลายทั้งมวลนี้ “ค่าเงินดอลลาร์” มีส่วนเกี่ยวข้องแทบทั้งสิ้น ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ บริษัท เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ อิงค์ ของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” นักลงทุนระดับตำนาน ขวัญใจ “วีไอ” ของคนทั้งโลก เพิ่งรายงานการซื้อหุ้น บริษัท บาร์ริค โกลด์ คอร์ป จากแคนาดา ด้วยเงินมูลค่ากว่า 563 ล้านดอลลาร์ โดย บริษัทดังกล่าวทำธุรกิจ “เหมืองทองคำ” ซึ่งถือเป็นรายใหญ่สุดของโลกด้วย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ “บัฟเฟตต์” ปฏิเสธ “คุณค่า” ของ “ทองคำ” มาโดยตลอด

แฟนพันธ์แท้ของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ทราบดีว่า เขาไม่เคยเห็นคุณประโยชน์จากการลงทุนในทองคำ เพราะมองว่า “ทองคำ” ไม่สามารถ “จ่ายปันผล” ได้ และที่สำคัญยังนำไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ การที่ “บัฟเฟตต์” ยอมทุ่มเงินกว่า 563 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อหุ้นเหมืองทองคำที่ใหญ่สุดในโลก อาจสะท้อนว่า เขามองทิศทางทองคำในระยะข้างหน้า มีโอกาสขึ้นได้ต่อ หรือไม่ก็มองว่า “เงินดอลลาร์” กำลังด้อยค่าลง ...แต่ที่แน่ๆ ใครที่คิดจะทุ่มสุดตัวกับการลงทุนในทองคำในช่วงที่ราคาปรับฐานนั้น คงต้องระวังไว้บ้าง เพราะราคาทองคำในช่วงนี้ ผันผวนรุนแรงยิ่งกว่าหุ้น คนลงทุนต้องรับความเสี่ยงได้พอสมควร!