เสริมเสน่ห์ด้วย 'จิตวิทยา' ทริคง่ายๆ ไม่ต้องพึ่งสายมู

เสริมเสน่ห์ด้วย 'จิตวิทยา' ทริคง่ายๆ ไม่ต้องพึ่งสายมู

ไม่ต้องพึ่งไสยศาสตร์หรือ "สายมู" แค่เข้าใจกฎพื้นฐานด้าน "จิตวิทยา" ก็สามารถสร้างความประทับใจแรกพบ หรือ first impression ได้แบบเหนือชั้น

เวลาเจอใครเป็นครั้งแรก หรือเวลาได้ทำงานกับใครนานๆ เราจะรับรู้ได้ถึง “ความน่าคบหา” ของคนแต่ละคนที่มีเสน่ห์ไม่เท่ากัน และแสดงออกมาผ่านทางคำพูด ท่าทาง ความคิดอ่าน แต่ในทางจิตวิทยา มีกลเม็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจช่วยสร้างความประทับใจให้กับผู้พบเห็นหรือพบปะด้วย เรื่องนี้สำคัญไม่น้อย โดยเฉพาะในกรณีของความประทับใจแรกพบหรือ first impression

ในตอนนี้ก็เลยจะเล่าถึงเกร็ดจากงานวิจัยว่า มีวิธีสร้างเสน่ห์แบบที่ทำได้เลย ไม่ยาก ไม่ต้องไปควานหาสาลิกาลิ้นทอง หรือทำพิธีไสยศาสตร์อะไรให้วุ่นวาย เสี่ยงกับการถูกหลอก ต้องเสียเงิน เสียเวลา และเสียใจ
มีงานวิจัยที่พิสูจน์ได้ว่า การบังคับร่างกายให้ทำกิริยาบางอย่างจะส่งผลต่อจิตใจได้ด้วย เช่น การกางแขนเท้าเอวแบบซูเปอร์แมน ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เราได้ ในทำนองเดียวกัน การยิ้มให้กว้างเอาไว้
ช่วยให้จิตใจปลอดโปร่งโล่งสบาย มีความสุขมากขึ้น

 ยิ้ม 0.5 วิ 

อาการยิ้มแย้มแจ่มใสนอกจากจะทำให้เรา (ดู) มีความสุขแล้ว ยังทำให้มีความสุขขึ้นจริงๆ นะครับ โดยไปกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนแห่งความสุข และมีข้อดีสำคัญคือสร้างความประทับใจให้กับผู้พบเห็นได้ง่ายด้วย
มีงานวิจัยที่ชี้ว่า การยิ้มนานอย่างน้อย 0.5 วินาทีให้กับผู้อื่นในแต่ละครั้ง ทำให้ดู “จริงใจ” และมีเสน่ห์มากกว่าการยิ้มแบบรีบหุบยิ้ม (0.1 วินาที) มาก นอกจากนี้ ยังเป็นการยิ้มที่ดูไม่ใช่การ “ยิ้มข่ม” หรือ “ยิ้มเยาะ” อีกด้วย

ที่น่าสนใจก็คือ นอกจากการยิ้มแล้ว การเอียงศีรษะเล็กน้อยยังมองดูน่าไว้ใจและมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นอีกด้วย (พวกเซเลบหลายคนในโซเชียลมีเดียคงรู้เรื่องนี้ ดูจากท่าโพสต์ได้) แต่มีข้อควรระวังคือ ต้องเอียงไปทางด้านขวามือของตัวเองเท่านั้น!

 ฮาโลเอฟเฟกต์ 

การใช้ ฮาโลเอฟเฟกต์ (Halo Effect) ก็ช่วยได้ครับ ในทางจิตวิทยามีการทดลองพบว่า ความรู้สึกดีๆ เรื่องหนึ่ง สามารถนำไปสู่ความรู้สึกดีๆ ในอีกเรื่องหนึ่งได้ จนนำไปสู่ความประทับใจดีๆ ได้ เช่น ที่ผมเคยเขียนไว้ในหนังสือ “อย่าชวนเธอไปดูหนังรัก” ว่าการพาสาวไปดูหนังแอ็กชั่นให้ผลดีมากกว่าพาไปดูหนังรัก เพราะหนังแอ็กชั่นส่งผลให้ผู้หญิงตื่นเต้นเลือดลมสูบฉีดไปกับฉากบู๊ในเรื่อง ส่งผลทางอ้อมให้รู้สึกว่าอยู่กับชายหนุ่มที่ออกมาเดตด้วยแล้วหัวใจเต้นตุ้บตั้บ

สมมุติว่าคุณต้องไปคุยงานกับลูกค้าสักคน การทราบล่วงหน้า (อาจจะจากการสอบถามคนอื่นหรือดูจากภาพในโซเชียลมีเดียของคนนั้น) ว่าลูกค้าชอบท่องเที่ยวที่ไหน ชอบกินอาหารแบบไหน หรือชอบเลี้ยงหมาแมว หากลองชวนคุยเรื่องพวกนี้ ก็ย่อมสร้างความประทับใจได้ ยิ่งในกรณีคนสูงอายุ บางรายถึงกับผูกขาดเล่าเรื่องเหล่านั้นต่อไปอีกเป็นสิบๆ นาที แต่เมื่อไปถึงบ้านกลับบอกลูกหลานว่า หนุ่มน้อยหรือสาวน้อยที่คุยด้วยนี่ พูดจาดี คุยสนุกจริงๆ ทั้งๆ ที่ความจริงคือ ได้แต่รับฟังและพยักหน้าตามไปเท่านั้น แทบไม่ได้คุยอะไรเท่าไหร่เลย

 เรียก 'พี่' ได้ไหม 

การเรียกชื่อหรือสรรพนามแสดงความสัมพันธ์ก็มีความสำคัญมากในโลกตะวันตก การเพิ่งเริ่มพบกันครั้งแรก อาจแสดงความสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วได้ผ่านการเรียกชื่อตัวหรือชื่อเล่น แทนที่จะเรียกชื่อนามสกุล สำหรับคนไทยนั้น การเลือกสรรพนามก็มีความสำคัญมาก เรียก “อา” แทนที่จะเรียก “ลุง” ย่อมสร้างความพึงพอใจได้มาก หรือแม้แต่จะเรียก “พี่” ก็คงจะยิ่งสร้างความปรีดาให้ได้ แม้เจ้าตัวจะรู้ว่าเลยอายุจะให้เรียกพี่ไปมากแล้ว
ยศถาบรรดาศักดิ์ก็มักให้ถือกันว่า “เหลือดีกว่าขาด” เรียกจ่าผิดเป็นหมวด ย่อมดีกว่าเรียกหมวดผิดเป็นจ่าอยู่แล้ว ยังเรียนไม่จบ ก็ให้เรียก ดร. เรียกศาสตราจารย์ เรียกคุณหมอ ดักรอไว้ได้เลย
ยังไม่แต่งตั้งก็เรียกคุณหญิงไว้ก่อน ฯลฯ

 วิธีการแบบ 'เบนจามิน แฟรงคลิน' 

มีวิธีการแบบหนึ่งที่ผู้ค้นพบ ได้แก่ เบนจามิน แฟรงคลิน หนึ่งในบิดาแห่งสหรัฐอเมริกาและผู้รอบรู้ในสารพัดวิชา ครั้งหนึ่งเขาทดลองเกี่ยวกับมิตรภาพระหว่างบุคคล แล้วพบเรื่องน่าประหลาดใจว่า คนเรามักจะมีธรรมชาติที่ชอบคนที่ตัวเองสามารถช่วยเหลือทำสิ่งใดให้ได้ อ่านไม่ผิดหรอกครับ ชอบคนที่เราช่วยเค้าได้!

ในทางตรงกันข้ามก็จริงด้วย คือ หากใครที่เรามีปฏิสัมพันธ์หรือช่วยเหลืออะไรด้วยไม่ได้ เรามักจะไม่ค่อยชอบหรืออยากสนิทชิดเชื้อสักเท่าไหร่ คำแนะนำสำหรับสร้างเสน่ห์แรกพบก็คือ อาจจะขอให้คนผู้นั้นทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้สักอย่าง เช่น หยิบของส่งให้ ไม่ว่าจะเป็นถ้วย จาน หรือน้ำตาล เกลือ ฯลฯ หรือหยิบยืมบางอย่างที่ไม่ชวนให้ลำบากใจ เช่น ยืมปากกามาเขียนอะไรสักอย่าง หรือแม้แต่ขอความคิดเห็นในเรื่องบางเรื่องก็ได้ผลแบบเดียวกันหมด ... กลเม็ดแบบนีเรียกว่า “วิธีการแบบเบนจามิน แฟรงคลิน”

 'เท้า' และ 'ดวงตา' บอกเป็นนัย 

เท้าของคู่สนทนาก็ช่วยให้นัยยะบางอย่างกับเราได้ คราวหน้าหากจะต้องยืนคุยกับใครสักคน ลองแว่บมองตำแหน่งเท้าของคู่สนทนาดูสักที ข้อสังเกตก็คือ หากเขาหรือเธอหันหน้า หันตัว มาคุยด้วย (แบบเอี้ยวตัวเล็กน้อย) แต่ปลายเท้ายังยื่นไปทางอื่น ไม่หันมาทางคุณ ก็แสดงนัยยะว่าคนผู้นั้นยังไม่สนใจจะคุยกับเราในขณะนั้น

สุดท้าย ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ การสื่อสารกันด้วยดวงตาอาจเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน สายตาที่ดึงดูดสาวๆ หรือหนุ่มๆ ต้องเป็นสายตาแบบไหน? หลายคนคงสงสัย
ในทางจิตวิทยามีการศึกษาเยอะอยู่นะครับเรื่องการส่งสายตา โดยพบว่าสาวๆ จะประเมินหนุ่มที่กล้าสบตาว่า เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเอง แต่ลักษณะการมองก็มีความสำคัญ หากมีลักษณะจ้องมองเขม็งหรือจ้องนานๆ แบบไม่เลิก อาจทำให้รู้สึกกลัวหรือถูกขมขู่อยู่ แทนจะทำให้รู้สึกว่ากำลังสนใจอยู่

คำแนะนำคือ สายตาที่เหมาะสมจะส่งไปคือ สายตาที่เป็นมิตร นุ่มนวล และอบอุ่น สายตาแบบนี้ดูได้จากการส่องกระจกแล้วลองยิ้มนะครับ สายตาแบบนั้นแหละครับที่ต้องส่งให้บรรดาเป้าหมายของเรา จัดเป็น “ตาที่ยิ้มได้

 กฎสองวินาที 

อีกข้อที่สำคัญ ฝรั่งเค้าเรียกว่าเป็น “กฎสองวินาที” ครับ คือ หากจ้องมองไปทางสาวคนใดแล้วเธอยอมสบตาด้วย 1-2 วินาที ก่อนจะหันไปทางอื่น แล้วหันกลับมาสบตาอีกครั้ง ก็แสดงว่า “ประตูใจ” เปิดออกแล้วครับ

ความรู้จิตวิทยามีประโยชน์นำมาใช้กับชีวิตจริงได้แบบนี้แหละครับ