CBG เปิดกระโดด 6% หลังโชว์กำไร Q2/63 โต 70% จากยอดขายต่างประเทศ

CBG เปิดกระโดด 6% หลังโชว์กำไร Q2/63 โต 70% จากยอดขายต่างประเทศ

CBG พุ่ง 5% เช้านี้ หลังโชว์กำไร 4.5 พันล้านบาท ในไตรมาส 2/2563 เติบโต 20% จากปีก่อน หนุนจากรายได้ต่างประเทศโต 27% นักวิเคราะห์คาดกำไรนิวไฮต่อเนื่อง

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ.คาราบาวกรุ๊ป (CBG) หลังเปิดตลาดเช้านี้ (10 ส.ค.) เปิดกระโดดขึ้นและพุ่งแตะระดับสูงสุดของที่ 134.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 6.76% จากวันก่อนหน้า ก่อนที่ราคาหุ้นจะย่อตัวลงมาซื้อขายที่ราว 130.5 - 131 บาท ลดช่วงบวกมาเหลือ 3 - 4%

ทั้งนี้ ราคาหุ้น CBG น่าจะได้แรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทที่ออกมาเติบโตดีในไตรมาส 2/2563 โดยบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 4,508 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.1% จากปีก่อน โดยรายได้จากสินค้าแบรนด์ตัวเองเติบโต 13.6% จากปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราส่วนรายได้ในประเทศต่อต่างประเทศที่ 40 ต่อ 6

ทั้งนี้ รายได้ในประเทศชะลอตัว 1.7% ถือว่าหดตัวน้อยกว่าที่คาดเพราะตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศในด้านปริมาณขายทั้งตลาดชะลอตัว 13.4% แต่ CBG ได้เครื่องดื่ม C+LOCK ซึ่งสร้างยอดขายเต็มไตรมาสเป็นไตรมาสแรกช่วยลดผลกระทบ ณ สิ้นไตรมาส 2 เครื่องดื่ม C+LOCK มีส่วนแบ่งการตลาดในเชิงปริมาณขายเป็นอันดับที่ 4

ขณะที่รายได้ต่างประเทศเติบโต 27% เป็น 2,219 ล้านบาท โดย 81% หรือ 1,800 ล้านบาท มาจากกลุ่มประเทศ CLMV และ 7% มาจากจีน โดยยอดขายใน CLMV เติบโตในทุกประเทศโดยในเมียนมาร์ทำระดับสูงสุดใหม่ โดยรวมส่งผลให้กำไรปกติอยู่ที่ 890 ล้านบาท เติบโต 69.7% จากปีก่อน

 

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า เรามีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ CBG และเชื่อว่ากำไรสุทธิจะทำระดับสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่องถึงไตรมาส 4 ปีนี้ เป็นอย่างน้อย และมีโอกาสที่จะทำได้ต่อไปในปี 2564 เนื่องจาก รายได้จาก C+LOCK ที่มีการออกรสชาติใหม่ และการส่งออกไปยัง CLMV ยังไม่รวมในประมาณการ และในไตรมาส 4 จะมีกำลังการผลิตใหม่ของโรงบรรจุขวดเพิ่มขึ้น 40% เป็น 4.2 ล้านขวดต่อวัน และบรรจุกระป๋องเพิ่มขึ้นอีก 30% เป็น 5.7 ล้านกระป๋องต่อวัน ซึ่งจะทำให้รายได้ใน CLMV กลับมาเติบโตในอัตราเร่งได้จากปัจจุบันที่เต็มกำลังการผลิต

ขณะเดียวกันเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งในจีน รวมถึงประเทศส่งออกใหม่ที่ยังอยู่ระหว่างศึกษา ด้านต้นทุนบรรจุภัณฑ์กระดาษลดลงจากโรงงานบรรจุภัณฑ์แห่งใหม่ของบริษัท

โดยรวมเราอาจปรับประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 130 – 140 บาท ซึ่งจะมี Upside gain ราว 3 – 10% จึงยังคงคำแนะนำซื้อเก็งกำไร โดยคาดว่าราคาหุ้นจะตอบสนองเชิงบวกต่อผลประกอบการและแนวโน้มที่ยังเป็นเชิงบวก ในเชิงกลยุทธ์นักลงทุนอาจซื้อเก็งกำไร โดยมีจุดพิจารณาทำกำไรที่ราว 135 บาท